วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ปล่อยไปเถอะอย่ามาทำร้ายกันเลย

ปล่อยไปเถอะอย่ามาทำร้ายกันเลย (08/05/2008)

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------



เราไม่อาจห้ามเธอไปไหนมาไหนกับคนเก่าได้

เธอไม่อาจตัดความสัมพันธ์กับคนเก่าได้

ที่ผ่านมาทั้งหมดมันก็แค่คำหลอกลวง

ทุกวันเธอก็ได้ทำร้ายฉันมามากพอแล้ว

กะอีกแค่คนไกลที่ไม่ค่อยรู้จัก เรามันเป็นแต่คนไกล

จะเป็นหรือตายเธอก็ไม่รู้สึกอะไรกับฉันอีกแล้ว

เรามันเป็นแค่ขยะทางอารมณ์และขยะแห่งความเลว

ไว้เป็นที่ระบายหรือจะย่ำยีก็ได้หรือจะทำชั่วร้ายกับเรา
จะทำร้ายฉันอีกกีร้อยครั้งเธอเองก็ไม่รู้สึกผิด
เพราะเธอมีคนดีๆที่ให้ความรักกับเธออยู่แล้ว

หรือถ้ายังจะทำแบบนี้ก็ฆ่าฉันให้ตายไปเลยดีกว่า
อย่ามาทำร้ายกันเลย

ไปให้ไกลจากเราซะเราไม่อยากให้เธอมาทรมาณใจฉันอีกแล้ว

ในเมื่อที่เธอไม่รักเราแล้วมาทำร้ายเราทำไม

ผมดัดดูแลยังไงไม่ให้เสียทรง

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------

ผมดัดดูแลยังไงไม่ให้เสียทรง
การดัดผม หมายถึง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเส้นผม เปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตา เปลี่ยนโครงสร้างเส้นผมอย่างถาวร ทำให้เกิดการโค้งงอเพื่อความสวยงามชนิดถาวร สาเหตุก็เป็นเพราะ สารเคมีที่อยู่ในน้ำยาดัดผมบนแกนม้วนผมจะซึมซาบเข้าไปทำปฏิกริยากับโครงสร้างเส้นผมให้ดูนุ่มนวลขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของแกนแต่ละชนิดด้วย ยิ่งแกนใหญ่เท่าไหร่ก็จะช่วยให้ลอนผมดูนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของน้ำยารักษาสภาพลอนผมให้อยู่ตัว ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกลาง

เช่นเดียวกับการยืดผมก็จะใช้ขั้นตอนเดียวกัน เพียงแต่อาจใช้หวีช่วย โดยการหวีจากรากจรดปลายเส้นบ่อยๆ ก็จะช่วยให้เส้นผมเหยียดตรงได้

ซึ่งถ้าไม่ชอบในผมที่เปลี่ยนไปก็ไม่สามารถทำให้ผมกลับคืนมาตรงได้เหมือนเดิม ในเวลาที่รวดเร็ว ต้องรอให้ผมส่วนที่งอกใหม่ยาวออกมาเสียก่อน หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือต้องดัดผมซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มีการเรียงตัวทางโครงสร้างของผม





เคล็ดลับและไม่ลับ สำหรับสาวผมดัด

1. ใช้แชมพูสำหรับผมแห้งซึ่งมีน้ำมันซิลิโคนที่มากสักหน่อยเป็นประจำ จะช่วยให้ผมลื่นและดูเงางาม
2. ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำให้เจือจาง นำมาชโลมเส้นผมหลังจากล้างน้ำครั้งสุดท้ายทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบขึ้น หวีง่ายขึ้น และสะท้อนแสงไฟได้ดีขึ้น ทำให้ผมดัดแลดูเป็นเงางาม
3. การนวดหนังศีรษะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการผลิตไขมัน
4. เพื่อการจัดทรงง่าย ใช้น้ำมันอัลมอนด์ใส่ขวดสเปรย์แล้วฉีดใส่แปรงก่อนหวี จะทำให้หวีผมง่ายขึ้นแลดูเป็นเงางาม
5. ก่อนนอนใช้หนังยางรวบผมไว้หลวมๆผมจะได้ไม่พันกันตอนกลางคืน
6. นำเนื้ออะโวคาโดผสมกับน้ำมันทานตะวัน 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีกเล็กน้อยชโลมบนผมเปียก
ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้หมด ช่วยบำรุงผม
7. หรือวิธีง่ายๆด้วยครีมเอนกประสงค์อย่างนีเวียนำมานวดผมและทิ้งไว้ค้างคืน จะช่วยบำรุงผมดัดได้

รู้ก่อนดัด

1. ถ้ามั่นใจว่าเส้นผมแข็งแรงพอที่จะดัดแล้วล่ะก็ก่อนการดัดประมาณ 2-3 สัปดาห์ เส้นผมควรได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยการใช้ทรีตเม้นท์เข้มข้นเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมอย่างเต็มที่ และภายหลังจากการดัดผมแล้ว เส้นผมจำเป็นจะต้องได้รับการบำรุงมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อผมใหม่งอกยาวขึ้น บริเวณรากผมที่ดัดไว้จะตกลงมา ควรพิจารณาดูว่า จะมีการดัดเพิ่มเฉพาะช่วงรากหรือค่อยๆเล็มผมแล้วดัดเพิ่มใหม่ทั้งหมด แต่อย่าดัดซ้ำสองในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมอ่อนแอและเสียไปในที่สุด
3. ควรเว้นระยะประมาณ 2 สัปดาห์ ระหว่างการทำสีผมและการดัดผม มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับปัญหาเส้นผมแห้งเสียเหมือนฟางข้าว แทนที่ลอนผมสลวยสีสันสดใสได้

วิธีดัดผมเป็นลอนสวย


1. การดัดผมที่ทำให้เกิดการโค้งที่ใหญ่และกว้าง แทนที่จะทำเป็นเส้นหยิกหยอยเล็กๆ การดัดแบบนี้สามารถเพิ่มการสปริงตัวของเส้นผมและเพิ่มน้ำหนักให้กับเส้นผมและทรงผมด้วย
2. การดัดผมที่โคนของเส้นผม จะสร้างความรู้สึกว่าเส้นผมยกตัวตั้งสูงขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่ามีเนื้อผมมาก ทรงผมที่ตัดสั้นจะได้ประโยชน์มากจากการดัดผมแบบนี้
3. การดัดผมที่ทำให้เกิดการหยิกและเป็นคลื่นมากๆจะทำให้ดูว่าเส้นผมมีชีวิตชีวานุ่มและเป็นธรรมชาติ
4. การดัดผมให้เกิดการหยิกมากจนเป็นเกลียว การทำเช่นนี้จะทำให้ผมดูหนาขึ้นมาก เหมาะสำหรับผมยาวที่มีเนื้อผมให้ทำการดัดม้วนจนเป็นเกลียว
5. การดัดผมเฉพาะที่ เช่น ดัดบริเวณหน้าผากหรือด้านข้าง เพื่อทำให้เกิดการยกตัวในบริเวณนั้นๆ
6. การดัดผมโดยใช้ขนาดของโรลต่างๆกันในเส้นผมที่ยาวเท่ากัน จะทำให้เส้นผมที่ถูกดัดมีขนาดต่างๆกันและสุมทับกันดูทันสมัยและแปลกตาดี
7. การดัดผมในบางส่วนและทิ้งไว้ตามปกติบางส่วน ทำให้เกิดการสลับสับเปลี่ยนสร้างความเท่ได้อีกรูปแบบหนึ่ง

ดัดแล้วต้องเจอ

ผมที่ดัดหากปล่อยไว้ไม่เกิน 2 เดือน เส้นผมในส่วนโคนที่งอกขึ้นมาใหม่ก็จะมีลักษณะตามธรรมชาติของเส้นผมเดิมปรากฎออกมา เช่น ในคนเอเชียอย่างพวกเราเส้นผมก็คงเหยียดยาวไม่มีอาการโค้งงอหรือหยักศกใดๆ ฉะนั้นเพื่อให้ทรงผมดูงดงามเหมือนเดิม การดัดผมเพิ่มเติมในส่วนนี้ให้เข้ากับรูปทรงเดิมก็ควรต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำครั้งใหม่นี้ต้องพยายามหาวิธีป้องกันไม่ให้น้ำยาที่ใช้ทั้งขั้นตอนแรก และขั้นตอนสุดท้ายไปออกฤทธิ์ในที่ที่ไม่ต้องการให้ทำ ช่างทำผมที่มีประสบการณ์สูงจะจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

วิธีดูแลผมดัด

1. ไม่สระผมภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังการดัดหมาดๆ
2. เมื่อเลยกำหนดเวลา ใช้แชมพูและครีมนวดสูตรเฉพาะผมดัดเท่านั้น
3. หวีผมด้วยหวีซี่ห่าง ไม่ควรใช้แปรงๆผมเด็ดขาด ทางที่ดีใช้นิ้วมือช่วยจัดแต่งทรงให้เข้าที่เข้าทางก็เพียงพอ
4. ผมเปียกควรซับให้แห้ง เพราะความเปียกสามารถทำให้เส้นผมยืดตัวได้
5. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับการดัดผม ปล่อยให้เส้นผมแห้งเอง
6. ใช้เซรั่มลดความพองฟู หรือใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งเส้นผมแบบ Super Hold ประเภทแว๊กซ์ หรือโลชั่นลูบผมช่วยให้อยู่ทรงและจัดลอนได้สวยงาม
7. ใช้ไดร์เป่าผมให้เสยไปข้างหลัง แล้วใช้นิ้วมือเสยผม จนผมหยิกเริ่มคลายลอน ใช้น้ำมันใส่ผม
หรือแฮร์โค้ทชโลมเบา ๆ จะได้ผมทรงใหม่เป็นลอนสวยไม่หยิก
8. ควรนวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและการผลิตไขมัน
9. ใช้สเปรย์เพิ่มวอลลูมเส้นผม
10. ผมลอนใหญ่จัดทรงยาก ใช้มูสชโลมผมที่เปียกหมาดๆ แสกผมแล้วแบ่งผมเป็นช่อ ม้วนโรลขนาดใหญ่ทิ้งไว้ให้แห้งใช้นิ้วจัดแต่งทรง

การดูแล...ผมแตกปลาย!?

"การดูแลผมแตกปลาย"

ผมแตกปลายเกิดขึ้นเมื่อชั้นของเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวออกจากกัน ไม่มีวิธีที่จะทำให้ชั้น ที่แตกแยกออกจากกันนี้กลับมาสมานสนิทได้ถาวร ครีมนวดผม (conditioner) จะทำให้เส้นผมที่ แตกปลายกลับมาสมานกันได้เพียงชั่วคราวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่ไม่กี่วัน โดยทั่วไปเมื่อสระผมครั้งต่อไปผมก็จะแตกปลายอีก

จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่

ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว

ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่

ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม

กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย

กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ

สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์

ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท

สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ

1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ

2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู

3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ

4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ

5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี

สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง

2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ

3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที

4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก

สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ

1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ

2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม

3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป

4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ

5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน

6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด

7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย

เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้

ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้

1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ

2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)

3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น

4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป

5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง

นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง

มันมากับฝน...ภัยมืดที่สาวๆ ต้องระวัง

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------




มันมากับฝน...ภัยมืดที่สาวๆ ต้องระวัง

เคยรู้สึกกลัวเวลาที่ต้องกลับบ้านคนเดียวมืดๆ ระแวงเวลาที่ต้องเดินออกจากออฟฟิศคนเดียว หรือผวาเวลาที่ต้องนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านดึกๆบ้างหรือเปล่า
ไม่ผิดหรอกที่จะรู้สึกแบบนั้น และไม่ต้องกังวลด้วยว่าคุณจะกลายเป็นสาวพารานอยด์จนเกินเหตุ หากว่ายังติดตามข่าวหน้าหนึ่งที่มีคดี ปล้น จี้ หรือทำร้ายร่างกายจากหนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกวัน

ต่อไปนี้คือบางส่วนจากนิตยสารที่เราหยิบยกขึ้นมา
เพื่อเตือนสาวๆ ให้ระวังภัยมืดใกล้ตัวคุณ!!!
ไม่อยากเสี่ยงควรเลี่ยง 10 ซอยอันตราย
ซอยลาดพร้าว 21 เขตจตุจักร
ซอยวิภาวดี 64 เขตหลักสี่
ซอยจรัลสนิทวงศ์ 37
ซอยจรัลสนิทวงศ์ 89
ซอยสวนผัก 11 เขตตลิ่งชัน
ซอยภิรมย์ เขตสัมพันธวงศ์
ซอยเจริญนคร 23 หรือ ซอยอู่ใหม่ เขตคลองสาน
ซอยวิมุตยาราม เขตบาง
ซอยร่วมรักษา เขตห้วยขวาง
ซอยวัดมะกอก ถนนราชวิถี ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ



วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องนั่งแท็กซี่คนเดียว
สาวๆ จ๋า เมื่อหน้าฝนมาเยือนการเดินทางย่อมไม่สะดวกสบายเหมือนฤดูอื่นๆ แต่เรียกแท็กซี่ได้แล้วก็อย่างเพิ่งดีใจ อย่าเผอเรอนั่งสบายๆ ในแอร์ชุ่มช่ำจนลืมนึกถึงความปลอดภัยละ
1. เริ่มตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ เวลาเปิดประตูบอกที่หมายให้สังเกตว่าในรถมีทะเบียนรถที่เป็นแผ่นเหล็กติดอยู่ที่บริเวณประตูหรือไม่ และสังเกตว่าคนขับหน้าตา ท่าทาง ดูน่าไว้วางใจหรือไม่ มีอาการมึนเมารึเปล่า
2. เมื่อขึ้นไปนั่ง ควรจำทะเบียนรถทันที หรือจดใส่กระดาษไว้ ดูชื่อคนขับ และดูรูปบัตรที่ติดในรถกับคนที่ขับว่าตรงกันหรือไม่ แต่จะให้ดีที่สุดควรโทรศัพท์หาคนที่กำลังจะไปหา แล้วบอกไปเลยดังๆ ให้คนขับได้ยินว่า ' ฉันขึ้นรถ TAXI เขียว-เหลือง ป้ายทะเบียน กทม. มจ.xxxx กำลังจะไปแล้วนะ เดี๋ยวเจอกัน" ไม่ต้องอายเพราะความปลอดภัยของเราใครจะรับผิดชอบ จริงไหม
3. ถ้าโดยสารคนเดียวควรเลือกนั่งเบาะหลังที่นั่งคนขับ โดยนั่งให้ชิดประตูเพราะจะทำให้การพยายามทำอันตราย ต่อผู้โดยสารโดยตรงเป็นไปได้ยากขึ้น แต่เวลาจะลงรถควรลงทางประตูด้านซ้ายเพราะจะได้เป็นการกันไม่ให้คนขับลงจากรถแล้วมาทำอันตรายในระยะประชิดได้
4. พยายามอย่าบอกว่าไม่รู้หรือไม่ชินกับเส้นทาง ถึงแม้จะมาจากต่างจังหวัด ถ้าคนขับถามว่าไปทางไหนดี ควรบอกไปว่า "ไปทางไหนก็ได้......แต่ให้ดีเลือกทางที่รถไม่ค่อยติด และไม่เข้าซอยเปลี่ยว " ถ้าไม่รู้ทางทั้งคนนั่งและคนขับ อาจเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือถามทางกับคนแถวนั้น แต่ที่ที่จอดถามต้องปลอดภัย คนพลุกพล่าน
5. หากคนขับแท็กซี่ชวนคุย ควรคุยเฉพาะเรื่องเส้นทางเท่านั้น ไม่ควรคุยเรื่องส่วนตัว เพราะจะเป็นการนำไปสู่การคุยเรืองทะลึ่งลามกได้
6. ขณะนั่งบนรถควรสังเกตอะไรบ้าง
* เส้นทางตลอดเวลาที่ผ่าน อาทิ เช่น ป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย ถ้ารู้สึกผิดปกติให้โทรหาญาติหรือเพื่อนโดยบอกเส้นทางที่ผ่านมาทุกระยะ
* หากคนขับ ปรับกระจกมองข้างหลัง มาดูระดับขา หรือ ระดับหน้าอกของเรา ควรลงจากรถเพราะอาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนขับไม่ให้เกียรติต่อผู้โดยสารผู้หญิง และบ่งบอกว่าเขาอาจกำลังคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่ แต่หากจำเป็นต้องนั่งต่อควรเอากระเป๋ามาปิดขาหรือเอามากอดอกไว้ ทำท่าทางให้ดูน่าเกรงใจ ที่สำคัญก่อนออกจากบ้านก็ควรจะดูแลตัวเองเบื้องต้นไว้บ้าง เช่น ไม่แต่งตัวโป๊เกินไป หรือมีเสื้อคลุมที่มิดชิดติดตัว
* ควรสังเกตว่าคนขับขยับมือมาที่ช่องแอร์หรือฉีดสเปรย์ที่ช่องแอร์หรือไม่ ถ้าผิดสังเกต เริ่มรู้สึกมีอาการแปลกๆ เช่น รู้สึกปวดหัว คลื่นไส้จะอาเจียน รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ไม่มีเรี่ยวแรง แสดงว่าคุณอาจโดนมอมยา ควรหาที่ปลอดภัยคนเยอะๆ สว่างๆ แล้วลงจากรถ รีบโทรหาญาติหรือเพื่อนทันที หากโชคดีควรหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เยอะๆ หาที่พิงแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น
* ควรระวังคนขับบางรายที่ใช้วิธีช่วยขนสัมภาระ แล้วพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่ตั้งใจ บางคนฉวยโอกาสนี้ป้ายยาสลบใส่โดยที่ผู้โดยสารไม่รู้ตัว
7. สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานั่งแท็กซี่ คือ
* อย่าคิดว่า " คงไม่มีอะไร นั่งหลายครั้งแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย" เพราะจะทำให้คุณปิดโอกาสในการระมัดระวังภัยของตัวเอง
* อย่าเผลอหลับบนรถแท็กซี่เด็ดขาด ไม่ว่าจะเหนื่อย ไม่สบาย หรือเมาแค่ไหนก็ตาม
8. ถ้าถูกพาไปที่เปลี่ยว อย่าเปิดโอกาสให้คนขับประชิดตัว ควรพยายามชิงหนีออกมาก่อน ถ้าไม่มีอาวุธป้องกันตัวให้เอารถเป็นที่กำบัง หรือ วิ่งรอบรถพร้อมกับ ร้องตะโกนให้คนช่วยเพื่อถ่วงเวลา ถ้านานแล้วยังไม่มีใครมาช่วย ให้ตะโกนดังๆ ว่า ' ตำรวจมาแล้ว ตำรวจช่วยด้วย ' ให้คนร้ายหันไปมอง แล้ววิ่งสุดชีวิต ถ้าฉวยจังหวะนั้นได้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะวิ่งห่างจากคนร้ายได้ประมาณ 100 เมตร
9. ถ้าบอกให้จอดแล้วไม่ยอมจอดแต่ยิ่งขับเร็วขึ้น ก่อนอื่นต้องตั้งสติดีๆแล้วเปิดประตูด้านหนึ่ง (ควรเป็นประตูด้านซ้ายของเบาะผู้โดยสาร จำไว้ว่าเราต้องนั่งเบาะข้างหลังคนขับ) ให้สะบัดค้างไว้นอกรถเพื่อสร้างจุดสังเกต มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะมีคนสังเกตเห็นและช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ให้สกัด 7 จุดสำคัญ
1. บริเวณศีรษะ
จุดอ่อนสำคัญที่จะหยุดคนร้าย ได้แก่ ดวงตา หู จมูก ขมับ ท้ายทอย ปลายคาง โดยเลือกใช้สิ่งของที่มีลักษณะแหลมๆ แทงไปตรงจุดดังกล่าว หรือฉีดน้ำหอม/น้ำยาดับกลิ่นปากไปที่ตา รับรองคนร้ายไม่รอดแน่
2. ลูกกระเดือก
ควานหาของแหลมๆ เช่น กุญแจ แปรงสีฟัน หรือ มาสคาราก็ได้ แทงเข้าไปบริเวณนี้จะมีผลทำให้กระดูกอ่อนของกล่องเสียงโจรแตกจนถึงขั้นพูดไม่ได้ก็มี
3. ลิ้นปี่
ตรงกลางบริเวณท้องส่วนบน อาจจะใช้สมุดเล่มหนา แปรงสีฟัน หรือโทรศัพท์มือถือ กระทุ้งไปตรงจุดนี้ให้เต็มแรง คนร้ายจะเกิดอาการจุก ตัวงอและล้มลงได้
4. เป้ากางเกง
ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการจู่โจม หากผู้ชายถูกกระแทกบริเวณนี้จะอ่อนแรงลง ยิ่งถ้าแรงมากจะส่งผลให้ลูกอัณฑะแตกถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
5. หน้าแข้ง
วินาทีนี้แล้วคงไม่ต้องนึกเสียดายของกันแล้วละ หยิบของที่แข็งแรงพอจะเหวี่ยงได้เช่น กล้องดิจิตอล ฟาดสุดแรงเข้าที่หน้าแข้งไปเลยเพื่อสร้างความเจ็บปวดและทำให้เสียการทรงตัว เป็นโอกาสให้รีบวิ่งเอาตัวรอด
6. หลังเท้า
ถึงตอนนี้รองเท้าส้นสูงที่สาวๆ มักบ่นว่าปวดเมื่อยยามสวมใส่จะกลายเป็นประโยชน์ยามคับขัน เหยียบไปอย่างแรง ย้ำๆๆๆ จะยิ่งดีและถ้ายังมีโอกาสให้ตามด้วยยุทธศาสตร์ข้ออื่นอีกก่อนผละหนี
7. นิ้วมือ
อาจจะใช้ที่ดัดขนตาหนีบไปที่นิ้วมืออย่างแรงหรือหักนิ้วไหนก็ได้กลับอีกด้าน วิธีนี้ต่อให้คนร้ายตัวใหญ่แค่ไหน ก็ต้องสยบ

คิดถึงแฟนเก่า...แล้วมันเสียหายตรงไหน..

คนเราเคยมีความหลังต่อกันแล้วจะไม่ให้ระลึกถึงซะบ้างเลย ก็เกินไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไหนๆเขาหรือเธอก็กลายเป็นอดีตของคุณไปแล้ว ไม่ว่าจะแตกหักกันอย่างไร ขอเล่าเรื่องการเยียวยารักษาแผลใจให้ฟังแล้วกัน แม้บางคู่ที่เลิกรากันไปเพราะดิ้นรนอยากเลิกเอง
ไม่ได้ถูกเขาทิ้งหรืออกหักก็ตาม แต่คงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช้ำในกับอดีตบ้างล่ะ

ว่ากันว่า ยามได้เวลาต้องฟื้นไข้จากพิษเลิกรากับคนรักเก่า (Recovering From A Breakup) คุณก็ไม่ควรเศร้าสร้อย เหงาหงอยจนออกนอกหน้าแบบเว่อร์ๆ เพราะเมื่อถึงคราว ที่ต้องสิ้นสุดกันเสียที ก็ควรยอมรับว่า อดีตก็คืออดีต

ความรักผ่านมา แล้วก็ผ่านไป จะไปฉุด ไปรั้งเขาไว้ ได้ อย่างไร ในเมื่อใจของเขาไม่ อยากหวนคืนมาหาเราซะแล้วนี่ เป็นซะอย่างนี้ควรปล่อยให้แล้วก็แล้วกันไปเถอะ

ว่าแต่คนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะบั้นรักกับแฟนมาหมาดๆ มักมีความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้าหา ไหนจะเจ็บช้ำระกำใจ, ท้อแท้ สิ้นหวัง หนำซ้ำบางครั้งเหมือน กับว่า โลกนี้กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในไม่ช้านี่แหละ

ให้พิการทางกาย ยังดีกว่าพิการทางใจหลายร้อยเท่า

แต่...แต่อย่าเพิ่งเข้าขั้นโคม่าขนาดนั้นเลยท่าน โอ้ย... อกหักครั้งสองครั้งน่ะจิ๊บจ๊อย เพราะในอนาคตคุณยังต้องเผชิญกับรักร้าวและรักลวงอีกเยอะ แค่นี้ปวดแสบปวดร้อน ยังน้อยไป ทว่าหัวใจยังทำด้วยเนื้อ ต่อให้เอาเหล็กมาหุ้มไว้ ถ้าเพิ่งแยกทางกับคนที่เคยรัก จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลย คงตลกสิ้นดี

งั้นถ้าหากอยากฟื้นจากพิษรัก ก็มีบันไดให้เดินตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. จำไว้ว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
เป็นไปได้ว่า ตอนที่คุณถูกคนรักทิ้งขว้าง แน่ล่ะมันย่อมเป็นช่วงที่คุณรู้สึกเสียศูนย์มากที่สุดในชีวิต เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจและคิดเตลิดเปิดเปิงว่า อุตส่าห์รักขนาดนี้ยังทิ้งเราได้ลงคอ แต่ขอให้คิดไกลไปอีกนิดด้วยว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังเป็นคนเดิม คนที่ครั้งหนึ่งเป็นที่รักของใครบางคน ไม่ได้เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายแต่อย่างใดหรอก
2. ตอนที่คุณตกอยู่ในห้วงแห่งรักไม่ สมหวังอย่างนี้ รู้ไหมว่า คุณกำลังอ่อนแอทั้งร่างกาย และจิตใจ สภาพโทรมจัดแบบนี้ มีสิทธิ์ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง ได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าช้ำในนานนัก หมั่นดื่มน้ำใบบัวบกหรือน้ำเก๊กฮวยให้มันหายเก๊กซิมซะเร็วๆ
3. หากฟังคำพูดตัดสวาทของอีกฝ่ายแล้วยังไม่แน่ใจว่า เขาหรือเธอพูดจริงหรือพูดเล่น สอบถามอีกทีก็ได้นี่ว่า เราหมดเยื่อไม่เหลือใยกันจริงหรือ?
ถ้ายังได้รับการยืนยันว่า ใช่ เค้าเรียกว่า ยังสะเออะไปถามให้ตัวเองหน้าแหกอีกทำไมก็ไม่รู้ สู้เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาจีบคนใหม่ดีกว่า
การผิดหวัง อาจชักพาให้คุณสมหวังกับคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าคนเก่าก็ได้ สักวันอาจเจอ "รักแท้" ที่จริงใจกว่าเดิม มีรักเหนียวแน่นกว่าครั้งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
4. ช้ำรักมักทำให้คุณขมขื่นก็จริง แต่ อย่าไปแสดงออกให้คนในอดีตของคุณรู้เข้าล่ะ
เพราะไม่งั้น เขาจะหาว่า คุณขาดวุฒิภาวะ ยังไม่ เป็นผู้ใหญ่พอ ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หากยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปควบคุมอะไรไหวล่ะเนี่ย
5. ขอเวลานอก หลบไปพักผ่อน หรือยุติเรื่องหนักๆ ไว้ชั่วคราว
สิ่งที่คุณเพิ่งเจอมานั้น สร้างความบอบช้ำมากพออยู่แล้ว ถ้าจิตใจยังไม่ปกติ ก็อย่าแสร้งทำเป็นว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร การถูกคนรักตัดพ้อต่อว่า, ถูกสลัดรัก หรือถูกทิ้งทุกคน (ที่มีแฟน) ล้วนมีประสบการณ์ทำนองนี้ มาแล้วทั้งนั้น และอาจเผลอไปทำกับคนอื่นเอาไว้ แบบนี้เหมือนกัน ใช่ว่าจะถูกเขาทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะ
แต่หากหนีไปจากเรื่องวุ่นๆ ซ้ำซากจำเจได้ชั่วคราว ขอให้รีบทำ ขืนอยู่ที่เดิมๆ คงไม่แคล้วเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
6. ถ้าไม่กลายเป็นคนซึมกะทือ หรือมัมมี่เดินได้แล้วไซร้ การไปสังสรรค์ออกสังคม พบปะผู้คนบ้าง
อาจช่วยให้ลืมเรื่องเก่าๆได้ แม้จะลืมได้ไม่ถาวร แต่ลืมได้ชั่วคราวก็ยังดี เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะลืมตลอดกาลไปเองนั่นแหละ
ทีเรื่องอื่น ทำไมถึงขี้ลืมกันเหลือเกิน ตรงข้ามกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไยลืมไม่ลง ก็บ่ฮู้
สุดท้าย แทนที่คุณจะเกลียดอดีตหวานใจ เปลี่ยนเป็นจากกันด้วยดีและยังมี ความปรารถนาดีต่อกันซะเถิด อย่างน้อย เราคงเหลือความทรงจำดีๆต่อกันอยู่บ้าง หากหนูทบทวนดีๆอาจเสียดายพี่ก็ได้นะ.

เวลาต้องการลืมใคร.......

เวลาต้องการลืมใคร...

วันนี้...เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้ "
.....แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ..... สักวันเราจะรู้ว่า...
สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้. ....เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา
ไม่ใช่...ทั้งหมดของชีวิตเรา

วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่
ที่เราคิดว่าเราพึงใจ...ปรารถนา...ต้องการ...ขาดไม่ได้
เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก..

เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป จะสอนเราได้เองว่า
.....ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ
อย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง...
คิดเสียว่า...เราโชคดี...ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก

ความผูกพัน...ก็เหมือนกับความรัก... หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก
แต่ความผูกพันที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง ไว้กับสิ่งนั้นๆ

.....เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง เปรียบเสมือน
เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบ ในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม
พออากาศร้อนหน่อย...เราอาจต้องการน้ำเย็น ๆ
บางครั้งที่เราไม่สบาย...เราอาจต้องการน้ำอุ่น

ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ... ต้องเติมสิ่งต่าง ๆ
ในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม

หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที
ในแก้วใบเดียวกัน เราก็จะพบว่า...แก้วใบนั้น...ก็จะร้าว...แล้วเริ่มแตก
ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา...

ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง...ไม่ผิด
ถ้าเราค่อยๆปรับใจ...ปรับตัวของเราเอง...ให้กลับคืนในเวลาที่ควร
เพราะอย่างน้อยที่สุด...เราก็มีโอกาส...ได้ผูกพัน...
ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาส...ได้รัก นั่นเอง

ถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น ...คือ...ความรัก
ถ้าคุณเศร้า...เหงา...คิดถึงเค้า...อยากเจอ...อยากพูดคุย ...คือ...ความรัก

ถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ ...คือ...ความใคร่
อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียว

ถ้าคุณเมามาย...เค้าลูบหลังไหล่...ดูแล ...คือ...ความรักที่บริสุทธิ์ใจ
ถ้าคุณเมามาย...เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย ...คือ...ความใคร่จากเค้าของคุณ

ถ้าคุณเข้าหา...แต่เค้าหนี... ...คือ...ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้ว
ถ้าคุณหนี...แต่เขาวิ่งตามมา... ...คือ...ความรักที่ยังไม่มีจุดจบ

ถ้าคุณร้องไห้...ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ
.....คุณคือ...คนโง่...และบ้า อย่างน่าอาย
แต่ถ้าคุณพอใจ...จงรัก...และมอบความรักให้กับเค้า
แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตาม
จงดีใจที่ได้รักซะวันนี้...ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้า
จงภูมิใจที่มีความใคร่...เสน่หา เพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป

เหตุผลที่ผู้ชายไม่ยอมเอ่ยคำว่ารัก

เหตุผลที่ผู้ชายไม่ยอมเอ่ยคำว่ารัก

ความเป็นไปได้ที่เขาไม่กล้าเอ่ยคำว่ารักนั้น
อาจเพราะความกลัวต่อสิ่งที่คุณจะแสดงออก
หลังจากเขาพูดมันออกไป
แหมก็ผู้ชายเขาออกจะกลัวเสียฟอร์มซะขนาดนี้
ถ้าเกิดเขาพูดออกไป
แล้วคุณหัวเราะเยาะเขา
หรือทำหน้าเหยเกเข้าใส่ เขาก็ยิ่งขาดความมั่นใจ
และไม่สามารถพูดคำคำนั้นได้อีกเลย
ซึ่งเป็นที่มาของสาเหตุที่สองคือ
จากประสบการณ์รักเก่าที่เขาเคยเจอ
ทำให้เขาเรียนรู้ ที่จะไม่สะกดคำว่ารักออกมา
ให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ได้ฟังอีกต่อไป
ซึ่งอาจถือเป็นโชคร้าย
ถ้าคุณเกิดเป็นสาวคนนั้น
แต่ในท้องฟ้าที่มืดมน ก็ย่อมมีแสงสว่างอยู่บ้าง
คำว่ารักนั้น ไม่ได้แสดงออกด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว
การกระทำอย่างอื่นของเขา
อาจจะเป็นสิ่งที่ยืนยัน ได้ดีกว่าคำพูดซะด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเขาคนนั้น เป็นหนุ่มเพลบอย
ที่บอกรักหญิงสาวไปทั่ว
แต่พอมาพบคุณ
เขาก็ไม่ยอมเอ่ยปาก มาให้คุณฟังบ้างซะที
นั่นแสดงว่าเขาเริ่มจริงจังกับคุณมากกว่าใครๆแล้วค่ะ
ผู้ชายประเภทนี้ จะไม่ยอมปริปากบอกรัก
กับหญิงที่เขาจริงจังด้วยเป็นอันขาด
เพราะว่าเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดกับใครในตอนนี้
ให้เวลาเขาหน่อยนะคะ
ไม่นานคุณจะได้ยินคำรัก จากปากของเขาเอง

มีผู้ชายอีกประเภทหนึ่งที่
แยกไม่ออกระหว่างความรักกับความสงสาร
ทำให้เขาไม่สามารถพูดว่ารักคุณได้เต็มปาก
ประเด็นนี้คุณคงต้องพิจารณาดีๆแล้วว่า
คุณกับเขาเริ่มคบกันเพราะอะไร
ถ้าเพราะความสงสารล่ะก็
ค่อยๆให้มันแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพ
ของเพื่อนหรือเป็นความรัก
ระหว่างหนุ่มสาวก็ย่อมทำได้
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ของคุณทั้งสองมากกว่า
(เราบอกก่อนว่าผู้ชายประเภทนี้ข้านค่องจะกวนทีนนิดหน่อย)

สุดท้ายเราอยากจะบอกว่าคำว่ารัก
ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน
ถึงความรักที่เขามีให้คุณ
มันเริ่มออกมาจากลมปาก และลอยปลิวไปเป็นอากาศ
ถ้าเขายังไม่พร้อมที่จะพูด
ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม คุณก็น่าที่จะให้โอกาสเขา
ค่อยๆ สั่งสมความรักนั้น
นานวันเข้า มันเริ่มล้นออกมาเมื่อไหร่
เขาจะเริ่มพูดให้คุณได้ฟังเองนั่นแหละ

ผมขาวก่อนวัย

ผมขาวก่อนวัย
นพ. ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์


เรื่อง "ผมขาวก่อนวัย" เป็นปัญหาที่ใครหลายคนกังวลใจ และคิดหาทางแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าผมเริ่มขาวจำนวนมากๆ หรือขาวมากเฉพาะแห่งในคนอายุน้อย ก็จะทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเองได้มากเหมือนกัน ซึ่งปัญหาผมขาวก่อนวัยนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย ผมไม่อยากใช้คำว่า "ผมหงอกก่อนวัย" เพราะกลัวว่าหลายคนจะสะเทือนใจ (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) ก่อนที่เราจะรู้จักกับผมขาวก่อนวัย เราควรมารู้ว่าผมขาวปกตินั้นเป็นอย่างไรกันก่อนครับ

โดยทั่วไปคนเราจะมีผมขาวขึ้นเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์เป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ในฝรั่งผิวขาวจะเริ่มมีผมขาวตอนอายุ 34.2+9.6 ปี และเมื่ออายุ 50 ปี จะพบว่ามีผมขาวร้อยละ 50 ส่วนในคนผิวดำจะมีผมขาวมากกว่าร้อยละ 50 เริ่มเมื่ออายุ 43.9+10.3 ปี ส่วนชาวญี่ปุ่นผู้ชายจะอยู่ระหว่างอายุ 30-35 ปี และ 35-39 ปี ในผู้หญิง

ส่วนเรื่องปัญหาผมขาวก่อนวัยนั้น ยังไม่มีอายุที่แน่ชัดระบุว่าเท่าไรจึงจะเรียกว่า "ก่อนวัย" แต่ตัวเลขต่อไปนี้เป็น ตัวเลขโดยประมาณเท่านั้น ในฝรั่งผิวขาวกำหนดว่าผมขาวก่อนอายุ 20 ปี และในคนผิวดำกำหนดว่าก่อนอายุ 30 ปี จึงเรียกว่าผมขาวก่อนวัย สำหรับคนไทยเราอาจจะใช้ตัวเลขก่อนอายุ 30 ปี เป็นผมขาวก่อนวัยตามที่มีการศึกษาในชาวญี่ปุ่น ผมขาวก่อนวัยเป็นโดยกรรมพันธุ์ แต่ก็อาจจะมีสาเหตุจากความเครียด โรคบางอย่าง หรือยาบางชนิดก็ได้

โรคที่อาจจะพบว่ามีผมขาวร่วมด้วย เช่น โรคซีด (pernicious anemia), โรคไทรอยด์ (hyperthyroidism), โรคหัวใจ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบในโรคแปลกๆ บางอย่าง แต่พบได้น้อยมากและมักมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ระบบกระดูก ระบบผิวหนัง ระบบอวัยวะเพศ หรือระบบกล้ามเนื้อร่วมอยู่ด้วย

ลักษณะผมขาวในผู้ชาย มักจะเริ่มต้นบริเวณขมับและเหนือจอน ส่วนของผู้หญิงนั้นมักจะเริ่มบริเวณประมาณ 2 นิ้วรอบๆ แนวไรผม ลักษณะของผมหงอกจะเริ่มบริเวณปลายผมก่อนแล้วค่อยๆ ลามไปที่โคนผม

ส่วนคำถามที่คนไข้มักถามผมเสมอก็คือ มักจะเคยได้ยินมาว่าสามารถเกิดผมขาวทั่วศีรษะได้เพียงชั่วเวลาแค่ข้ามคืน? ถ้ากล่าวตามหลักทางการแพทย์แล้ว ก็ต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ คิดว่าเรื่องเล่านี้มีเค้าเรื่องมาจากการที่พระนางมารี อังตัวแน็ต มีลักษณะผมขาวเกิดขึ้นทั่วศีรษะข้ามคืนในวันที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิลโยติน ซึ่งทางการแพทย์ได้ตั้งสมมติฐานไว้อยู่ 2 อย่าง ก็คือ ผมหงอกนั้นเริ่มตั้งแต่การถูกจองจำแล้ว เพราะไม่มีโอกาสได้ย้อมผมเลย (แต่ในคุกเมืองไทยอาจ ไม่แน่ครับ) หรือเป็นเพราะในสมัยก่อนจะมีแฟชั่นใส่วิกปลอม และเวลาถอดวิกปลอมออกจึงเห็นผมขาวทั่วศีรษะ

หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือในบางคนที่มีผมขาวและดำสลับกันอยู่ อาจดูเหมือนว่าเกิดผมขาวในเวลาเพียงข้ามคืนได้นั้น
เนื่องจากการเกิดผมร่วงบางชนิด (ที่พบค่อนข้างน้อย) ที่เรียกว่าผมร่วงเป็นหย่อม (alopecia areata) เพราะผมที่ร่วงในโรคนี้มักเป็นผมสีดำที่ร่วง แต่ผมสีขาวส่วนมากยังอยู่ที่บริเวณศีรษะ เพราะฉะนั้นจะเป็นผมขาวทั่วไปและมีจำนวนของเส้นผมน้อยลงด้วย

การรักษาผมขาวนั้น บางทีก็ไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะผมสีดอกเลาในบางคนจะทำให้ดูเท่ไปอีกแบบก็ได้ เช่น ริชาร์ด เกียร์ หรือในบางครั้งถ้าเป็นบริเวณปลายผมไม่มากนักอาจใช้กรรไกรเล็มออกก็ได้ หรือใช้ยาเคลือบผมซึ่งนิยมใช้กัน ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันก็มีขายในเมืองไทยแล้วแต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก ส่วนวิธีที่ได้ผลดีก็คือ การย้อมผม ซึ่งปัจจุบันยาย้อมผมในเมืองไทยก็มีหลายชนิด เช่น ชนิดชั่วคราว กึ่งถาวร และชนิดถาวร คำถามอีกคำถามหนึ่งที่ใครๆ ชอบถามผมก็คือ ผมขาวจะกลับดำได้เองตามธรรมชาติได้หรือเปล่า คำตอบก็คือ ผมขาวที่เกิดขึ้นนั้นจะอยู่ถาวร แต่อาจจะกลับมาดำได้เฉพาะชนิดที่เกิดจากโรคภายในร่างกาย เมื่อรักษาโรคดังกล่าวแล้ว ผมจึงกลับมาดำได้ครับ
จะเห็นได้ว่าผมขาวก่อนวัยส่วนมากจะไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน แต่ถ้าเป็นมากหรืออายุน้อยก็ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า และในวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาวการรักษาที่ดีก็คือการย้อมผม ส่วนรายละเอียดกับเรื่องยาย้อมผมนั้นมีมากพอสมควร ไว้ถ้ามีเวลาว่างๆ จะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีครับ

น้ำตาเทียมกับภาวะตาแห้ง

น้ำตาเทียมกับภาวะตาแห้ง
ศ.พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต

ดวงตาเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อนของคนเรา จะทำงานได้ดีจำต้องมีผิวชุ่มชื้น จะมีผิวแห้งแบบอวัยวะอื่นไม่ได้ การที่ดวงจะชุ่มชื้นอยู่ได้ต้องมีน้ำตาที่พอเพียงและสามารถเคลือบผิวดวงตาได้เป็นอย่างดี น้ำตาที่เคลือบผิวตาและหล่อเลี้ยงดวงตานี้หลั่งมาจากต่อมต่างๆ จากหนังจาและเยื่อบุตาด้วยจำนวนที่พอเหมาะกับการระบายออกของน้ำตา ทำให้เจ้าตัวไม่รู้สึกว่ามีน้ำตา ส่วนน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ดีใจ เสียใจ หรือเวลามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาจะหลั่งมาจากต่อมน้ำตาใหญ่ที่อยู่ใต้หนังตาบนด้านนอกอย่างมาก จึงท้นออกมาให้เราเห็นด้วยตา

น้ำตาที่หลั่งออกมาตามปกตินั้นมีหน้าที่และประโยชน์หลายประการได้แก่

* ฉาบผิวหน้าของตาดำให้เรียบ ทำให้มีการหักเหของแสงที่สม่ำเสมอ ทำให้ตาเรามองเห็นได้ชัดเจนดี ถ้าไม่มีน้ำตาฉาบผิวตาดำอาจไม่เรียบ ทำให้การหักเหของแสงไม่สม่ำเสมอ มีการแตกกระจายของแสง การมองเห็นลดลง

* ทำหน้าที่หล่อลื่นผิวดวงตา โดยการป้องกันความแห่งของผิวตาดำในขณะลืมตาและป้องกันการเสียดสีของเปลือกตากับตาดำเวลากระพริบตาทำให้ตาสบาย

* ในกรณีที่ผิวตาดำเป็นแผลขรุขระ ทำให้เจ็บตาเคืองตามาก น้ำตาจะฉาบผิวที่ขรุขระลดอาการเคืองตาลงได้

* ทำหน้าที่ชะล้างสิ่งแปลกปลอมที่อาจพลัดเข้ามาในตา อาจเป็นผง สารเคมี หรือแม้แต่เชื้อโรค

* น้ำตายังประกอบไปด้วยสารต่างๆ ที่จำเป็นและช่วยให้เซลล์ผิวดวงตาแข็งแรงสมบูรณ์ ได้แก่ ออกซิเจน เป็นอาหารต่อผิวดวงตา โดยปกติกระจกตาเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงจึงอาศัยออกซิเจนจากอากาศและน้ำตาเป็นหลัก น้ำตายังเต็มไปด้วยสารอาหารประเภทelectrolyte วิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ อีทั้งยังมีสารต้านจุลชีพ(antimicrobial) และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ซึ่งสารเหล่านี้จำเป็นสำหรับการคงไว้ของสภาพที่ปกติของผิวตา หากขาดสารเหล่านี้พื้นผิวดวงตาจะแห้ง กลอกและหลุดลอกได้ง่าย

ในภาวะปกติน้ำตาสร้างมาจากต่อมน้ำตา ต่อมภายในเยื่อบุตา ต่อมบริเวณโคนขนตา ตลอดจนต่อม ภายในหนังตา แต่ละต่อมสร้างน้ำตาต่างชนิดกัน โดยเรียงเป็น 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นชั้นไขมัน ชั้นกลางเป็นน้ำ และชั้นที่ชิดผิวตาเป็นชั้นเมือก น้ำตาจะหายไปโดยการระเหยร้อยละ 20 ที่เหลือจะไหลลงท่อบริเวณหัวตาลงสู่คอและจมูก



ภาวะตาแห้งหรือน้ำตาน้อยกว่าปกติจะพบในกรณีใดบ้าง

* เป็นแต่กำเนิด เป็นเด็กที่ไม่มีต่อมน้ำตา กรณีนี้พบได้น้อยมาก
* ผู้สูงอายุ ต่อมน้ำตาทำงานน้อยลง อาการเด่นชัดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แต่ไม่ชัดนักในชายสูงอายุ เชื่อว่าระดับฮอร์โมนน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
* ผู้ที่ได้รับการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอกบริเวณใบหน้า ทำให้มีการทำลายต่อมสร้างน้ำตา
* การใช้เลนส์สัมผัสชนิดนิ่มนานๆ ตลอดจนผู้ทำงานกับคอมพิวเตอร์นานๆ
* สารเคมีเข้าตา ซึ่งสารเคมีจะทำลายต่อมต่างๆ ในเยื่อบุตา
* มีโรคตาบางอย่างเรื้อรัง เช่น เปลือกตา เยื่อบุตาอักเสบ โรคริดสีดวงตา เป็นต้น
* มีโรคบางอย่างทางร่างกาย โดยเฉพาะโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(connective tissue) เช่น โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โรครูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี เป็นต้น
* จากการใช้ยารักษาโรคทางกาย หรือยาหยอดตาบางตัว ฯลฯ
* การแพ้ยา
* ฯลฯ

อาการของภาวะตาแห้งที่สำคัญ
อาการของภาวะตาแห้งที่สำคัญ ได้แก่ ระคายเคืองตา คล้ายมีผงอยู่ในตา บางรายมีอาการมองไม่ชัดด้วย ต้องกระพริบตาจึงเห็นดีขึ้น อาการมักเป็นมากในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ มากกว่าตอนเช้า อาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อทำงานที่ต้องใช้สายตา เช่น อ่านหนังสือ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดูโทรทัศน์ อาการต่างๆ เหล่านี้จะค่อยเป็นค่อยไป เป็นนานเรื้อรัง บางคนอาจบอกว่ารู้สึกตาฝืดๆ มีขี้ตาเป็นเมือกๆ เส้นๆ ตาแห้งนานมากจะทำให้ผิวตาดำไม่เรียบ ตาติดเชื้อได้ง่าย หากติดเชื้อตาดำจะเป็นแผล ทำให้อาการเลวลงไปอีก ถ้ารักษาไม่ดีแผลอักเสบในตาดำทรุดลงทำให้ตาบอดได้

การใช้น้ำตาเทียมในภาวะตาแห้ง
แน่นอนคงต้องชดเชยด้วยการหยอดน้ำตาเทียม ในสมัยก่อนการรักษาภาวะตาแห้งทำโดยพยายามใช้สารหล่อลื่น มีตั้งแต่การใช้ไข่ขาวและใช้ไขมันหยอดตาก่อนนอน การหยอดน้ำเกลือและน้ำมันชนิดต่างๆ จนในราว ค.ศ.1900 ความรู้เรื่องภาวะตาแห้งมีมากขึ้นมีการใช้สารที่เพิ่มความหนืดให้กับน้ำ ตลอดจนสารเพื่อเพิ่มระยะเวลาให้ยาอยู่ในตาได้นานขึ้น

สารหล่อลื่นหรือน้ำตาเทียมควรจะมีลักษณะใกล้เคียงกับน้ำตาปกติ ส่วนประกอบที่สำคัญ คือ polymer เพื่อให้น้ำตาเทียมมีความหนืด มีความตึงผิว ใช้ buffer เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างที่พอเหมาะทำให้ไม่แสบตา มีส่วนของเกลือเพื่อควบคุม toxicity และเช่นเดียวกับยาหยอดทุกตัวที่เปิดใช้นานากว่า 24 ชั่วโมงจะต้องมีสาร preservative เพื่อป้องกันการเติบโตของจุลชีพที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด น้ำตาเทียมก็เช่นกัน แต่สาร preservative เกือบทุกตัวมีผลทำลายเซลล์เยื่อบุผิวทั้งนั้น หากตาแห้งมากหยอดมากครั้งก็ทำให้สารนี้เป็นโทษและทำลายเยื่อบุผิวมากขึ้น อย่างไรก็ตามน้ำตาเทียมที่มี preservative ที่เป็นขวดใหญ่ ใช้สะดวก ใช้ได้นานกว่า ในปัจจุบันมีน้ำตาเทียมชนิดที่ไม่มี preservative เปิดแล้วต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อเลี่ยงพิษของ preservative

โดยสรุปน้ำตาเทียมที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 ชนิด ชนิดขวดใหญ่ใช้ได้นาน กับชนิดใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายแล้วจะมีราคาแพงกว่า การจะเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดไหนขึ้นกับโรคและความรุนแรง โดยทั่วไปถ้าตาไม่แห้งมาก ควรเริ่มจากชนิดขวดใหญ่ แต่ควรพิจารณาใช้ชนิดที่มีอายุการใช้งาน 24 ชั่วโมงเมื่อ * ภาวะตาแห้งค่อนข้างรุนแรง ต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่า 4 ครั้งต่อวันเป็นเวลานาน
* ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร preservative
* ผู้ที่มีโรคของผิวกระจกตา เซลล์ของผิวกระจกตาไม่ค่อยสมบูรณ์ การใช้น้ำตาเทียมแบบมี preservative ทำให้ผิวกระจกตาเสียมากขึ้น

น้ำตาเทียมแม้เป็นสารที่ช่วยหล่อลื่นดวงตา ลดอาการตาแห้งได้ แต่ในคนที่มีอาการมากก็น่าจะไปตรวจสุขภาพดวงตาอย่างละเอียดดูดีกว่าค่ะ

สุขภาพหญิงกับเชื้อโรครอบตัว

สุขภาพหญิงกับเชื้อโรครอบตัว

ในขณะที่ดำเนินกิจวัตรประจำวัน ทุกคนต้องเผชิญกับมลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสถานที่สาธารณะส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค โดยเฉพาะในที่ที่มีผู้คนหนาแน่น มีการแบ่งปันหรือใช้สิ่งของร่วมกันคุณอาจสงสัยว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อต่างกันหรือไม่ คงตอบได้ว่าพอๆ กันแต่น่าสังเกตว่าโดยลักษณะนิสัยตามธรรมชาติ แม้ผู้หญิงจะใส่ใจความสะอาด สนใจการดูแลสุขภาพร่างกายมากกว่าชาย แต่ก็ต้องเผชิญกับการรับเชื้อโรคไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่อไปนี้ล้วนเป็นสิ่งใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญและเอาใจใส่มากขึ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้น
ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะระวังเชื้อโรค


ในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ หลายคนจึงดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่าย พึ่งพาบริการรถโดยสารสาธารณะเท่าที่ทำได้ เช่น เรือ รถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งคำนวณแล้วประหยัดกว่าขับรถ หรือนั่งรถรับจ้างสาธารณะพอสมควร แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคมากเช่นกันเนื่องจากมีผู้โดยสารใช้บริการมาก เกิดความแออัดในห้องโดยสารที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอ บานกระจก
บานประตู ราวจับ เบาะโดยสาร ฯลฯ ผ่านการจับ หรือสัมผัสจากมือนับไม่ถ้วน ซึ่งหากมีคนใดคนหนึ่งป่วย ก็อาจแพร่กระจายโรคไปสู่คนอื่นอย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไข้หวัด โรคตาแดง ผื่นคัน เป็นต้น เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้หญิงติดนิสัยสำรวจตนเองให้ดูดี จึงอาจเผลอเสยผม ลูบผม จับหน้า ฯลฯ เปิดโอกาสให้ร่างกายรับเชื้อง่ายขึ้น ดังนั้นหลังจากขึ้น-ลงรถโดยสารทุกครั้งพยายามล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสหน้า ขยี้ตา เพราะอย่างน้อยก็อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
โต๊ะทำงานแหล่งสะสมเชื้อโรค!


ฟังดูแล้วอาจไม่น่าเชื่อ แต่โต๊ะคอมพิวเตอร์มีเชื้อโรคมากกว่าโถชักโครกถึง 400 เท่า หากละเลยการทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ไม่ได้เช็ดถูเป็นประจำทุกวัน ยิ่งสาวๆ คนใดนิยมหยิบขนมรับประทานพลางขณะพิมพ์งาน เศษขนมเอย ความมันของอาหารที่ติดที่มือก็ยังคงติดอยู่บนแป้นพิมพ์ โต๊ะทำงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเชื้อโรคที่ตรวจพบบนโต๊ะทำงานส่วนใหญ่จะไม่อันตราย แต่ก็มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ บ้างก็เป็นไวรัสไข้หวัด ไวรัสหูด โดยจะตรวจพบบ่อยตามโทรศัพท์ แป้นพิมพ์ เพราะทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องบ่อย ยิ่งเอื้ออำนวยให้ติดเชื้อง่ายยิ่งขึ้นหากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การทำความสะอาดโต๊ะทำงานเป็นประจำ ใช้ทิชชูเนื้อหนา หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ด ก่อนลงมือทำงานทุกเช้า หรือใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแป้นพิมพ์สัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ถ้าเป็นหูโทรศัพท์ให้ใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีเช็ดบางๆ และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนจับ หรือสัมผัสหน้า
หุ่นสวยที่ฟิตเนสแต่กลับติดเชื้อที่ผิวหนังแทน?


โดยทั่วไปฟิตเนสที่ได้มาตรฐานจะมีการจัดการและดูแลความสะอาดอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมากในแต่ละวัน จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสและราอย่างดี เพราะทั้งเปียกและชื้นจากเหงื่อหรือน้ำเฉอะแฉะในห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คนเดินย่ำไปมาทำให้เชื้อโรคอาศัยอยู่ตามพื้น โรคส่วนใหญ่ที่เกิดคือ หูดที่เกิดจากไวรัส หรืออาการคันตามง่ามนิ้วเท้าจากการติดเชื้อรา ดังนั้นจึงควรใส่รองเท้าฟองน้ำก่อนเข้าห้องน้ำทุกครั้ง และไม่ควรเดินเท้าเปล่าบริเวณห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกจากนี้หลังออกกำลังกายอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ให้เช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้งก่อนสวมใส่รองเท้า เปลี่ยนใส่ถุงเท้าคู่ใหม่ เพื่อป้องกันเท้าอับชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดเชื้อราที่เท้าเช่นกัน ส่วนหญิงที่ติดเล็บปลอม หรือต่อเล็บอะคริลิค ยิ่งต้องใส่ใจทำความสะอาดเล็บยิ่งกว่าคนอื่น เนื่องจากการติดเล็บปลอมทำให้เชื้อแบคทีเรีย และยีสต์เข้าไปซุกซ่อนตามขอบเล็บ และเข้าไปเติบโตได้ง่าย ดังนั้นหยิบจับสิ่งใดต้องหมั่นใช้แปรงขัดเล็บให้สะอาด หรือหากต้องสัมผัสอาหารด้วยมือโดยตรง ควรล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ
ทำธุระเบาหรือหนัก ตามห้องน้ำสาธารณะยิ่งต้องระวัง


ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ไปไหนมาไหนต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยเป็นอันดับแรกๆ การเข้าห้องน้ำยิ่งต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ห้องน้ำปกติเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากมาย แม้แต่ห้องน้ำส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำทุกวันยังมั่นใจในความสะอาดได้ไม่ถึง 100% เมื่อไปใช้ห้องน้ำสาธารณะ ความมั่นใจยิ่งลดลงหลายเท่าตัว

ในกรณีห้องน้ำชักโครก ก่อนนั่งควรทำความสะอาดฝารองนั่งให้สะอาด ใช้ทิชชูแบบเปียกชนิดฆ่าเชื้อ กระดาษชำระเช็ดให้สะอาด หรือปูกระดาษรองนั่งก่อนทำธุระ (พกติดกระเป๋าไว้) นอกจากนี้ยังต้องสังเกตว่าสายชำระสะอาดหรือไม่ ทางที่ดีควรฉีดให้น้ำไหลทิ้งประมาณ 1 นาที เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปะปนบริเวณรอบๆ สายชำระ หากมีสนิมขึ้นบริเวณหัวฉีด แนะนำให้ใช้ทิชชู ดีกว่า สุดท้ายหลังทำธุระทุกครั้งต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง
อุปกรณ์แต่งหน้าเพิ่มความสวยแต่เต็มไปด้วยเชื้อโรค


อุปกรณ์แต่งหน้าไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าซึ่งทำจากขนประเภทใด เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง เช่น สิวอักเสบ หรือตาแดง จากเชื้อ Staphylococcus ดังนั้นก่อนแต่งหน้าทุกครั้ง ต้องทำความสะอาดใบหน้าและมือทุกครั้ง หมั่นล้างพวกฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าทุกอาทิตย์ ตากให้แห้งในที่ลมพัด อากาศถ่ายเท จนกระทั่งแห้งสนิทค่อยเก็บไปใช้ หรือหากไม่มีเวลาให้เช็ดแปรงต่างๆ ด้วยแอลกอฮอล์ ที่สำคัญต้องไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น เพราะยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ แพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป มักมีบริการทดลองแต่งหน้าแก่ผู้ที่สนใจ ซึ่งอุปกรณ์แต่งหน้ามักต้องแบ่งใช้ หากสังเกตดีๆ บางแห่งใช้จนฟองน้ำกลายเป็นสีคล้ำ แปรงแต่งหน้ามีฝุ่นจากเครื่องสำอางจับหนา ดังนั้นหากต้องการทดลองแต่งหน้า สามารถบอกให้ช่างทำความสะอาดอุปกรณ์ก่อนทุกครั้ง หรือยื่นอุปกรณ์แต่งหน้าส่วนตัวให้ใช้จะดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาสคาร่า และลิปสติกแบบน้ำ ซึ่งต้องสัมผัสกับขนตา และผิวหนังโดยตรง หากลองใช้ อาจติดเชื้อตาอักเสบ หรือเป็นเริมที่ริมฝีปากเป็นของแถม แทนที่จะสวยกลับต้องไปหาหมอ เสียเงินรักษา

โดยธรรมชาติผู้หญิงถูกกำหนดให้มีทรวดทรง รูปร่างที่ซับซ้อน รักความสวยงาม มักมีการปรับปรุงแต่งเติมต่างๆ จึงจำเป็นต้องใส่ใจรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ ดังนั้นสภาพแวดล้อมใดที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยง หาทางป้องกันเสียก่อน เพราะหากเป็นขึ้นมาแล้วจะยิ่งดูแลลำบากมากขึ้น แม้ว่าเกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่หากหมั่นดูแลร่างกาย จะสบายและภูมิใจที่เป็นหญิงค่ะ

เปลี่ยนสีผมอย่างปลอดภัย

ปัจจุบันการเปลี่ยนสีผมเป็นแฟชั่นยอดฮิต มีให้เลือกหลากสี บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อเสริมสร้างบุคลิกใหม่ ในขณะที่บางคนเปลี่ยนสีผมเพื่อให้ทันสมัยตามกระแสนิยม แต่เบื้องหลังสีผมสวยโดดเด่นเป็นสง่า คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำยาเปลี่ยนสีผมหรือยาย้อมผมมีกี่ชนิด? และแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร? มีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เปลี่ยนสีผมเราได้? และที่สำคัญก่อนตัดสินใจเปลี่ยนสีผมเราควรระวังอะไรบ้าง?


น้ำยาเปลี่ยนสีผมหลากประเภท หลายจุดเด่น
น้ำยาเปลี่ยนสีผมหรือยาย้อมผมแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามความคงทนของสีผมที่เปลี่ยน ได้แก่ ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว กึ่งถาวรและถาวร
• ยาย้อมผมชนิดชั่วคราว มีโมเลกุลขนาดใหญ่ สีจึงเคลือบบนชั้นนอกของเส้นผมเท่านั้น ล้างออกได้ง่ายหลังจากสระผมด้วยแชมพูครั้งแรก ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดนี้มักเป็นแบบพร้อมใช้ไม่ต้องผสมเองให้ยุ่งยาก มักเป็นเฉดแม่สี มีจำหน่ายในรูปแบบคัลเลอร์ รินส์ (Color Rinse) สามารถทาหรือพ่นบนผมที่แห้ง ชโลมหรือทาทิ้งไว้ประมาณ 2-5 นาทีและล้างออก เช่นเดียวกับรูปแบบสเปรย์ (Color Sprays)
• ยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวร มีโมเลกุลขนาดเล็ก สีจึงเคลือบบนชั้นนอกและกลางของเส้นผม แต่ไม่ซึมลึกถึงโปรตีนของเส้นผม อันจะมีผลเปลี่ยนสีผมเดิมตามธรรมชาติได้ ยาย้อมผมกึ่งถาวรจึงติดคงทนในการสระผมอยู่ประมาณ 6-8 ครั้ง มีจำหน่ายในรูปแบบแชมพ
ูสระผม แวกซ์ โลชั่น โฟมย้อมสี ทั้งนี้วิธีใช้ก็แตกต่างกันตามลักษณะของผลิตภัณฑ์
• ยาย้อมผมชนิดถาวร ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยการสระผม สีจะติดคงทนและไม่ซีดจางง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการย้อมผมขาว แบ่งประเภทหลักๆ ออกเป็น 2 ชนิดคือ
*ยาเคลือบผม (Coating Tints) เช่น สมุนไพรย้อมผม (Vegetable Dyes) เปลี่ยนสีผมด้วยการเคลือบเฉพาะบนชั้นนอกของเส้นผม
แต่ไม่ทำลายโครงสร้างของเส้นผม ได้มาจากการสกัดของสมุนไพรตามธรรมชาติ เช่น เฮนนา ซึ่งจะให้สีแดงอมส้มหรือน้ำตาล และดอก
คาโมมายด์ ที่ให้สีทอง
• ยาย้อมผลชนิดซึมสู่เส้นผม เป็นน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่คนส่วนใหญ่คุ้นตากัน ภายในกล่องประกอบด้วยน้ำยา 2 ขวด คือ สี
ออกซิเดชั่นและน้ำยาโกรก หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
• สีออกซิเดชั่น (Colorant) หรือสีพารา เป็นครีมหรือของเหลวบรรจุในหลอด มีโมเลกุลขนาดเล็ก ไม่มีสี มีแอมโมเนียเป็นส่วนผสมหลักเพื่อให้มีสภาวะเป็นกรด-ด่างประมาณ 8-11 ความเป็นด่างของแอมโมเนียนี้มีคุณสมบัติทำให้เส้นผมชั้นนอกบวมและพองขึ้นมาก เมื่อบวกกับส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิวจะทำให้สีซึมเข้าไปสู่เส้นผมได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากสีออกซิเดชั่นมีความเป็นด่างมากก็จะทำลายส่วนชั้นนอกของเส้นผมบางส่วนทำให้ผมหยาบ กระด้าง สีออกซิเดชั่นที่นิยมใช้ในประเทศไทยคือ พาราฟีนีรีนไดอะมีนและพารา
โทลูอีนไดอะมีน
น้ำยาโกรก (Developer) หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ มีลักษณะเป็นครีมหรือของเหลวใส ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ขนาด 6% เพราะหากไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มากกว่า 6% จะทำให้ผมแห้ง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่หนังศีรษะ แต่ถ้าไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์น้อยกว่า 6% ก็จะไม่สามารถออกซิไดซ์สีอย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการเกิดสีผมสวย
หลักการทำงานพื้นฐานของน้ำยาเปลี่ยนสีผมชนิดถาวร ที่ทำให้สีผมของเราเปลี่ยนไปคือ การทำปฏิกิริยาระหว่างสีออกซิเดชั่น (ขวดที่1) กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (ขวดที่2) หลังจากเทส่วนผสม 2 ชนิดและเขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกันจนข้นแล้วนำไปชโลมบนเส้นผม สารประกอบที่อยู่ในน้ำยา 2 ขวดจะเกิดปฏิกิริยาต่อกันทำให้เกิดออกซิเจน เปลี่ยนขนาดโมเลกุลของสีให้จับตัวใหญ่ขึ้น มีผลทำให้สีที่ได้ถูก
กักเก็บอยู่ในชั้นกลางของเส้นผม นอกจากนี้ออกซิเจนยังทำปฏิกิริยากับสีผมตามธรรมชาติ เกิดเฉดสีที่อ่อนลง ทำให้สีที่ผสมขึ้นใหม่ตามความเข้ม-อ่อนบนฉลากผลิตภัณฑ์เห็นเด่นชัดเจนขึ้น
ข้อควรระวังที่ต้องรู้ก่อนทำสีผมทุกครั้ง
ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมไม่ว่าจะมาจากการสังเคราะห์ทางเคมี หรือได้มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ หากต้องสัมผัสต่อผิวหนังหรือเยื่อบุโดยตรง ร่างกายของเราอาจต่อต้านก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ทั้งสิ้น แต่จะแพ้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้อาการแพ้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลา เช่น บางคนเคยใช้น้ำยาชนิดนี้เป็นประจำแต่อยู่ๆ เกิดแพ้ขึ้นมา หรือเคยใช้น้ำยานานแล้วแต่อยู่ดีๆ ก็แพ้ขึ้นมา สรุปแล้วอาการแพ้ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ ดังนั้นก่อนใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผมโดยเฉพาะยาย้อมผมชนิดกึ่งถาวรและชนิดถาวร เราจึงจำเป็นต้องทดสอบอาการระคายเคืองก่อนทุกครั้งดังนี้
• ถอดต่างหูออกและทำความสะอาดบริเวณหลังใบหูและเช็ดให้แห้ง
• บีบสีออกซิเดชั่นและน้ำยาโกรกออกมาเล็กน้อยนำมาผสมกัน และใช้สำลีพันปลายไม้จุ่มน้ำยาที่ได้ทาบริเวณหลังใบหูประมาณ 1 ตารางเซนติเมตร ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง โดยไม่ต้องล้างออกหรือใช้ผ้าปิดทับ
• ถ้าเกิดรอยแดง รอยไหม้ คัน พุพองหรือบวมในบริเวณสีที่ทาทิ้งไว้ แสดงว่าแพ้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมนั้นๆ ไม่ควรใช้อีกต่อไป
• ห้ามใช้น้ำยาเปลี่ยนสีผม เปลี่ยนสีขนคิ้ว ขนตา เพราะอาจทำให้ตาบอดได้
• เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้น้ำยาย้อมผม
ขั้นตอนต่อไปหลังจากการทดสอบการแพ้หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมคือ การเตรียมความพร้อมก่อนใช้ ได้แก่
• ไม่เกา หรือแกะหนังศีรษะจนเป็นแผลหรือรอยถลอกก่อนทำสีผม รอจนกว่าสภาพหนังศีรษะจะเป็นปกติจึงค่อยเปลี่ยนสีผม
• สระผมก่อนทำสีผม เพื่อขจัดความสกปรกบนหนังศีรษะหรือน้ำมันบนเส้นผม เพื่อให้แน่ใจว่าสีผมจะซึมถึงเส้นผมอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ไดร์เป่าผมด้วยลมเย็นจนแห้งหมาดๆ แบ่งผมออกเป็นช่อๆ
• สวมถุงมือทุกครั้ง เพื่อป้องกันน้ำยาสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรง
• บีบสีออกซิเดชั่นผสมกับน้ำยาโกรก เขย่าแรงๆ จนสีเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตั้งทิ้งไว้ 3 นาที หรือจะเทส่วนผสมทั้งหมดลงชามผสมสี และใช้แปรงทาคนผสมให้เข้ากันก็ได้
• จับผมที่แบ่งไว้เป็นช่อๆ ดึงขึ้นด้านบน แล้วทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมจากโคนผมถึงปลายผม ในทิศทางออกนอกตัว ห้ามขยี้หรือถูน้ำยาบนหนังศีรษะแรงๆ และเว้นการทาน้ำยาห่างจากหนังศีรษะประมาณ 1 นิ้ว จนกระทั่งครบทั้งศีรษะ สุดท้ายค่อยหันกลับมาทาน้ำยาเปลี่ยนสีผมบริเวณโคนที่เว้นไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์นั้นๆ
• ใช้ก้อนสำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดทำความสะอาดน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่เลอะบนผิวหนังออกให้หมด
• ล้างผมด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด โดยใช้มือนวดศีรษะเบาๆ สระผมให้สะอาดด้วยแชมพูทั่วไป หรือน้ำยาปรับสภาพเส้นที่บรรจุมาในกล่องผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 ครั้ง เช็ดผมให้แห้งและไดร์ตามปกติ

ป้องกันตนเองจากการใช้ยาย้อมผมอันตราย
การซื้อสินค้าทุกชนิดเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง นอกจากจะอ่านวิธีใช้อย่างละเอียดแล้ว ก็ควรตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีส่วนประกอบอะไรบ้าง มีชื่อผู้ผลิตหรือไม่ และที่สำคัญมีมาตรฐานหรือผ่านการควบคุมและตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบหรือไม่ มิฉะนั้นแล้วเมื่อเกิดอาการแพ้หรือปัญหาทางสุขภาพใดๆ ก็ยากต่อการฟ้องร้องหรือหาผู้รับผิดชอบมาลงโทษเอาผิดได้
สำหรับน้ำยาเปลี่ยนสีผมก็ใช้หลักการพิจารณาเดียวกัน โดยเฉพาะก่อนซื้อควรสังเกตเครื่องหมาย อย. จากคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยอย่างถูกต้อง และเพื่อเพิ่มความมั่นใจทางคณะกรรมการอาหารและยาได้ประกาศเตือนเกี่ยวกับน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ปลอดภัย ต้องไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเหล่านี้
• 4 methoxy-m-phenylenediamine หรือ 4-MMPD
• 4-chloro-m- phenylenediamine
• 2,4 toloene diamine
• 2-nitro-p- phenylenediamine
• 4-amino-2-nitrophenol

ที่ผ่านมามีงานวิจัยและการศึกษาในห้องทดลองกับหนู ปรากฎว่าเมื่อให้สารนี้ หนูมีอาการระคายเคืองบนผิวหนังและเป็นมะเร็ง ซึ่งแม้ว่าจะมีผลในระดับหนูทดลอง แต่การหลีกเลี่ยงสารพวกนี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อคุณหยิบน้ำยาเปลี่ยนสีผม อย่าลืมเรื่องสำคัญเหล่านี้ด้วยนะคะ นอกจากผมจะสวยแล้ว สุขภาพยังดีอีกด้วย

เรื่องน่ารู้สำหรับการใช้น้ำยาย้อมผม
• สำหรับคนที่พื้นผมเป็นสีขาว หลังการย้อมผมอาจไม่มีปัญหาสีผมผิดเพี้ยนจากสีตัวอย่างบนกล่อง แต่สำหรับคนที่มีผมเข้มตามธรรมชาติ เช่น ผมสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม ให้เลือกเฉดสีที่อ่อนกว่าสีที่ต้องการประมาณ 1-2 เบอร์ เพื่อสีผมที่เด่นชัดสวย
• ไม่ควรเก็บน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ผสมเสร็จแล้ว เพื่อใช้ในครั้งต่อไป อย่าเสียดายเก็บไว้ เพราะภาชนะบรรจุอาจระเบิดหรือแตกได้
• หลังการทำสีผม หลีกเลี่ยงการดัดหรือย้อมซ้ำ เพราะจะทำให้สภาพเส้นผมถูกทำลายมาก ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 อาทิตย์

อ่านให้จบ เรื่องน่ากลัวที่ สำคัญมากๆ ระวังตัวบ้างนะ !!!!!

ผมเองก็มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันครับ เหตุเกิดตอนประมาณ
21.00 ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมเป็นคนที่สังเกตุสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่เสมอ
ดังนั้นหากมองเผินๆเหมือนกับว่าผมเดินไปดื่มน้ำในมือไปเรื่อยเปื่อย
สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือ รู้สึกว่ามีคนเดินตามผมห่างๆแต่ผมยังไม่คิดอะไรในทีแรก
เพราะคงเป็นผู้มาใช้บริการที่จอดอยู่ชั้นเดียวกัน
อีกอย่างที่รถที่จอดชั้นเดียวกับผมนี้ยังค่อนข้างเยอะ

บังเอิญว่าผมอยากจะทิ้งแก้ว น้ำในมือก็เลยมองหาถังขยะ
ซึ่งมันไม่ค่อยมีหรอกตามที่จอดรถ
เพราะทางศูนย์การค้าพวกนี้เค้ากลัวเรื่องการลอบวางระเบิด
ระหว่างที่ผมเดินหาที่ทิ้งในดวงใจอยู่นั้น
ผมก็เดินเลยที่จอดรถตัวเองไปหลายคันเหมือนกัน แต่ก็ไม่มี
จะทิ้งมั่วๆมันก็น่าเกลียด
ก็ตัดสินใจว่าเอาไปไว้ตรงที่วางแก้วในรถก่อนก็ได้ว่ะ
( ซึ่งตลอดเวลาไอ้บ้านี่ก็ยังเดินตามผมอยู่)
พอหมุนตัวจะกลับมาที่รถตัวเอง ไอ้บ้านี่มันก็ทำเป็นเดินให้เลยผมไปก่อน
แล้วก็หยุดเหมือนมองหารถมันว่าจอดไหน ไอ้ช่วงที่หมุนตัวกลับมานี่เอง
ที่ผมเห็นมันชัดๆว่า สภาพมันไม่ใช่ลักษณะคนขับรถเก๋งแน่นอน
คือมันมีสายร้อยกุญแจแบบ Flex( สายที่วนๆคล้ายสปริง)กับกุญแจดอกเดียว
ใส่แจ๊คเก็ตสีดำ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ไม่หวังดีรึเปล่า
ก็เลยแกล้งทำเป็นเดินเลยรถตัวเองอีกสักสี่ห้าคัน
แล้วไปหยุดทำท่าทางจะไขกุญแจรถคันหนึ่ง ซึ่งมันก็รีบเดินตามกลับมา
คงกลัวว่าจะไม่ทันเดี๋ยวผมขึ้นรถไปเสียก่อน
แต่ผมก็ทำทางเป็นเปลี่ยนใจอีกครั้งมองหาที่ทิ้งแก้วน้ำ
แล้วเดินสวนกับมันในระยะที่ปลอดภัยสำหรับผมเอง
แต่เป็นอันตรายสำหรับมันเพราะผมก็พร้อมอยู่แล้ว
แน่นอนว่าผมเดินกลับไปหารถผมเองอย่างแท้จริง ซึ่งคราวนี้มันหลงกลผมเต็มๆ
เพราะมันไปยืนอยู่ท้ายรถขับที่ผมทำท่าจะไขประตู
มันไปยืนแบบแอบๆเพราะเดี๋ยวผมต้องกลับมาแน่นอน
แต่คราวนี้ผมเดินไปปั๊บ กดรีโมทปุ๊บ ขึ้นรถได้ผมก็สตาร์ทเครื่อง
กดเซ็นทรัลล็อค ขณะที่ผมขับออกไป ผมมองไปที่มันซึ่งกำลังทำหน้างงๆ
แต่ไม่กล้ามองแบบเต็มๆนัก เห็นหน้าตามันเหวอๆ
ผมก็เลยคิดว่ายังไงต้องแจ้ง ร.ป.ภ. ไว้ก่อน
ไม่ว่ามันจะใช่อย่างที่ผมคิดหรือไม่ก็ตามแต่เพื่อความปลอดภัยของคนอื่นๆ
ผมขับเลยไปจอดตรงที่คืน บัตรจอดรถ แล้วแจ้งทางเจ้าหน้าที่ห้าง
รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ 4 คนไปเองด้วย
เพราะผมรู้อยู่คนเดียวนินา ไปเจอมันผลุ๊บๆโผล่ๆอยู่
ทางเจ้าหน้าที่จึงตรงเข้าไปสอบถามว่า ทำอะไร
มันตอบว่าไงรู้ไหมครับ.. .... มันมาซื้อของแต่จำไม่ได้ว่าจอดรถไว้ตรงไหน
แต่พอสักไปสักมาว่ารถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร มันก็อึกอักตอบมาว่า
มันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เอามอเตอร์ไซด์มา มั่วๆแล้วก็แถ
พอเจ้าหน้าค้นตัวก็พบมีดปอกผลไม้หนึ่งเล่ม ทีนี้หน้ามันซีดอย่างชัดเจน
ที่จริงหน้าผมก็ซีดครับ
ผมก็เลยบอกให้เจ้าหน้าที่คุมตัวแล้วแจ้งตำรวจเพื่อขยายผลต่อไป......
ต้องระวังนะครับ อย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าเป็นสุภาพสตรี อย่าลีลาอย่างผม
เพราะไม่คุ้มแน่นอนถ้าเราพลาด
เป็นห่วงทุกคนนะครับ
โจ

เพื่อนๆ ฺ BTsec ทุกท่าน
อ่านเรื่องข้างล่างแล้วระวังตัวให้มากๆนะคะ
เพราะพี่ต่อก็เคยโดนลักษณะเดียวกัน โดยขับรถกลับ
บ้านตนเดียวประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ พอเข้าซอยรู้สึกว่ามีรถมอเตอร์ไซด์ขับตามมา
และแล้วเข้าซอยเดียวกัน และตามมาเรื่อยๆ
พอพี่ต่อจอดรถหน้าบ้านเขาก็ขับเลยเข้าไปในซอยซึ่งเป็นซอยตัน
และเลี้ยวกลับมาจอดอยู่ใกล้ๆ
และลงมาเปิดประตูข้างคนขับที่พี่ต่อนั่งอยู่
พอดีคอยระวังอยู่แล้วและคอยมองอยู่ และรถก็ล็อคอยู่
เขาจึงเปิดไม่ได้
แต่ทำท่าบุ้ยใบ้ให้เราเปิดประตูเหมือนจะถามอะไร
พี่ต่อก็เลยบีบแตรดังมากๆหลายครั้ง แล้วโบกมือให้รู้ว่าไม่เปิด
พอดีแม่บ้านเดินมาที่ประตู เขาก็รีบเดินไปขึ้นรถขับออกไป
ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเร็วมากนับจากที่จอดรถหน้าประตูบ้าน ประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น
ปกติเมื่อถึงบ้านพี่ต่อจะบีบแตรแล้วเปิดประตูเพื่อส่งกุญแจประตูใหญ่ให้แม่บ้านไขประตูให้
พอดีวันนั้นมองมอเตอร์ไชด์คันนี้อยู่เลยยังไม่ได้กดแตร
เขาอาจจะคิดว่าเราจะลงจากร ถมาเปิด
ประตูบ้านเองก็ได้
ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ารถไม่ได้ล็อคอยู่จะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้หน้าบ้านเราเอง
พวกมิจฉาชีพพวกนี้จะลงมือเร็วมาก
คนมาช่วยก็อาจช่วยไม่ทัน
ดังนั้น ขอย้ำให้ระมัดระวัง มากๆ
เพราะเหตุการณืประเภทนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก และขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ
ฌลาวิภา เมฆใจดี

เรื่องสำคัญมากๆ
ระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง
ทั้งคู่กระตุกประตูหลังคนละข้าง
โชคดีที่ประตูล๊อกอยู่ 1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก
แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม
แล้วปนไปในฝูงชน เดี๋ยวนี้ เหตุร้ายเกิดได้ตลอดไม่ว่ามืดหรือสว่าง
เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ
เหตุการณ์ที่ 1
ภรรยาผม จะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซนทรัล ล๊อคทั้งก่อนสตาร์ทเครื่องและก่อนดับเครื่อง
มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาที่รถของเราอย่างสุภาพ
ขณะที่ภรรยาผมกำลังเล่นกับลูกอยู่ เพลินๆ ก็ได้ยิน เสียงตึ๊กจากข้างหลัง
ภรรยาผมก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถเรา
แต่เพราะรถล๊อคพวกเขาก็เดินกลับ ไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ภรรยาผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ กลางวัน แสกๆ แท้ๆ
ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ ล๊อค ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล๊อครถ
พวกผู้้ชายมักจะลงมือจากเบาะหลัง เพราะจะควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย
เหตุการณ์ที่ 2
หลังจาก พ่อและแม่ผม จ่ายเงินค่าจอดรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ก็จอดติดไฟแดง
ขณะนั้น ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำงาน )
ชายหนุ่ม สองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ
โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก
รีบถอดเข็มขัดนิรภัย ดับเครื่อง ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว
คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย
จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า
พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะ
จะให้ เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ?
พวกเขาจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่าขอโทษขึ้นผิดคัน ( นี่มันปล้นกันชัดๆ)
แล้วรถคันข้างหลัง ( มีคนอยู่ในรถสองคน) ก็ขับมารับพวกเขาจากไป
น่ากลัวที่สุด
เหตุการณ์ที่ 3
ตอนจอดติดไฟแดง รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่
สักครู่ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ท้ายรถผม
บนรถมีชายหนุ่มอายุ ประมาณ 20 กว่า สองคน
แล้วที่น่าสงสัยก็คือ พวกเขาพยายามมองเข้ามาในรถของผม
ผมจึงจ้องพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน
ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า ' รถมันล๊อคหมด ' แล้วก็ขับเลยไป
ขอให้ช่วยกัน Forward มากๆทั้งชายทั้งหญิงนะคะ
ส่งแค่คนสองคนก็ได้บุญแล้วค่ะ

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก !!!!!

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก!

ทุกคนย่อมมีความลับหรือเรื่องราวที่ปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาสุขภาพส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพทำลายความเชื่อมั่นอย่างจัง ก็อาจกลายเป็นคนอมทุกข์หรือเก็บตัวอยู่คนเดียว แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ต้องหาทางแก้ด่วน ซึ่ง 4 สุดยอดเรื่องน่าอายในใจหญิงที่เรารวบรวมมา ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน และสุดท้ายการผายลมและเรอบ่อย


ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือช้ำรั่ว (Overactive Bladder หรือ OAB)
มักเกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไอ จาม หัวเราะหรือยกของหนัก ทำให้ปัสสาวะเล็ดหรือซึมออกมาเปรอะเปื้อนกางกางชั้นใน พาลให้ไม่กล้าออกไปท่องเที่ยวหรือทำธุระนอกบ้าน อาการนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นมากถึง 75% ในช่วงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน หรือกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กันเหมือนเดิม นอกจากนี้อาการช้ำรั่วสามารถเกิดได้กับผู้หญิงหลังคลอดบุตร มีน้ำหนักเกิน ไอเรื้อรัง และโรคเบาหวาน วิธีรับมือกับเรื่องลับๆ ของคุณนี้มีทั้งแบบง่าย คือ การออกกำลังกายกระชับ
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ ช่องคลอด เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ให้ไหล ให้ขมิบ
นานครั้งละ 10 วินาทีและคลายออก ทำเป็นพักๆ ประมาณ 50-60 ครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือวิธีที่ยากหน่อยคือ การผ่าตัดทำรีแพร์ช่องคลอด
(A-P repair) การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะทางหน้าท้อง ผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและคำวินิจฉัย
ของแพทย์ค่ะ

ส่วนวิธีป้องกันเบื้องต้นของอาการปัสสาวะเล็ดก็คือ การ
หลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟและแอลกอฮอล์ที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่อย่ากลัวปัสสาวะจนไม่กล้าดื่มน้ำ เพราะนั่นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายยิ่งแย่เข้าไปอีก คุณควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6-8 แก้ว แต่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงก่อนเข้านอน เพื่อจะไม่ต้องตื่นมาทำธุระกลางดึกรบกวนการนอนค่ะ

ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ข้อแม้ของความลับกรณีนี้คือ คุณจำเป็นต้องบอกให้
สูติ-นรีแพทย์ทราบ อย่าเก็บเป็นเรื่องน่าอายของตนเอง มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพภายในให้รุนแรงหรือเป็นมากขึ้น ภาวะตกขาวที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

จากเชื้อรา (Yeast, candida, fungus) จากตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด กลับกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ทำให้มีกลิ่นไม่ค่อยดี อาจมีอาการคันและแสบที่ปากช่องคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก
• สวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดติ้ว หรือผ้าเนื้อหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดกลิ่นอับ

• การรักสะอาดมากไป การใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นจะทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองและเกิดเชื้อราได้ง่าย

• เกิดจากการลืมเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะอับชื้นเอื้อให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี

• รับประทานยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดและรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส มักจะส่งผลให้เชื้อโรคปกติที่อาศัยอยู่ใน
ช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อราได้ง่าย

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส (Trichomonas) ที่เป็นสาเหตุทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น การติดเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ เริม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งอย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดไปว่าตนเองจะเป็นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เพราะวิธีเดียวที่จะฟันธงว่าปัญหาน่าอายนี้เกิดจากอะไรนั้นคือ การไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในและนำ
ตกขาวไปทดสอบค่ะ
กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน
เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณผู้หญิงกังวลมากที่สุด เพราะถ้ามีแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รักษาความสะอาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าการที่มีกลิ่นตัวหรือเหงื่อออกบริเวณรักแร้ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดปกติ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกายที่ต่อมเหงื่ออะโปรลีน บริเวณรักแร้ขับเหงื่อออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม เดิมทีเหงื่อที่ขับออกมาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นเพราะเจ้าแบคทีเรียที่อยู่ตามที่อับชื้นอาศัยคราบเหงื่อเป็นอาหาร กลายเป็นกลิ่นตัวในที่สุด ปัญหานี้กลุ่มวัยรุ่นจะประสบมากหน่อยอันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปปัญหาเรื่องกลิ่นตัวก็จะลดลงไปเอง ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลดกลิ่นตัวก็คือ

• การใช้ยาลดเหงื่อ (antiperspirant) มีทั้งแบบโรลออน สเปรย์หรือแท่งสติ๊ก และยาดับกลิ่นตัว (deodorant)ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนผิวหนังคู่กับการดับกลิ่น

• การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่าย และ
หลีกเลี่ยงเสื้อที่รัดและแนบรั้งบริเวณใต้วงแขนมากไป

• หมั่นโกนขนรักแร้ เพราะขนรักแร้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตดีขึ้น ส่งผลให่มีกลิ่นตัวง่ายขึ้น

• หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นฉุน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม เพราะกลิ่นอาหารจะขับออกมาพร้อมเหงื่อ
ส่วนเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเหงื่อรักแร้ที่ออกมากเกิน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นคนประเมินว่าเหงื่อคุณออกมากผิดปกติจนต้องรักษาหรือไม่ อย่าเป็นหนูทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดจนผสมปนเปกันไปหมด อาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้
ผายลมและเรอบ่อย
เรื่องแบบนี้ถ้าธรรมชาติเรียกร้องก็อย่าฝืนจะดีกว่าค่ะ (แต่ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ต้องทำให้เนียนที่สุด) การผายลมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในวันหนึ่งคุณสามารถตดได้ถึง 1.5 ลิตรทีเดียว! แต่คนเราจะผายลมมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น

• การกลืนน้ำลาย การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวรับประทานอาหาร

• ชนิดของอาหารที่รับประทาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะไม่ถูกกับอาหารชนิดใดทำให้เกิดภาวะย่อยยาก เช่น ถั่ว นมวัว น้ำอัดลม หัวหอมใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้มโอ ลูกพรุน เนื้อสัตว์บางชนิด ซึ่งร่างกายอาจย่อยได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด เรอและผายลม

• มีอาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารอยู่ก่อน เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ความเครียด หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก็ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มากได้เช่นกัน
ถ้าไม่อยากให้ตัวเองผายลมและเรอมากไป ก็ต้องสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย งดดื่มน้ำอัดลมที่มีแก๊สมาก เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลังรับประทานอาหารพยายามเดินย่อยก่อนสัก 5-10 นาที แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการท้องอืด จุกแน่น เรอหรือผายลมมากผิดปกติ เป็นติดต่อกันนานๆ ขอแนะนำให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง


ความลับถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายส่งผลต่อสุขภาพและบุคลิกแบบนี้ คุณควรจะแบ่งปันความทุกข์ในใจให้สมาชิกในครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชี้ทางออกให้นะคะ

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอา หารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม


แหล่งที่มาจาก : kittitpx(พลังจิตดอทคอม)

น่าห่วง คุณผู้หญิงสวมส้นสูง!!

ผู้หญิง ความงาม และการแต่งตัว ต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน การที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ก็เพื่อเพิ่มความเด่น ลบความด้อย เสริมบุคลิกภาพในการเข้าสังคม

โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง ดูจะเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งที่คุณผู้หญิงให้ความสำคัญ เมื่อสวมแล้วเดินสวยๆ เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ยิ่งส่งให้ดูสง่าผ่าเผยขึ้นทันตา แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

จากการพูดคุยกับรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ ยุกตะนันท์ แผนกแผนกศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ และกายภาพบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ จะมีอาการ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูปหรือซ้อน รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านบริเวณผิวหนังที่ถูกเสียดสี เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็งๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ

อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องรับบทหนัก

เริ่มที่ หลังส่วนกลาง : จะต้องบิดโค้งเพิ่มมากขึ้น, เชิงกราน : ถูกยกอย่างไม่สมดุล ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ, เข่า : ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูก หรือข้อต่ออักเสบตามมา, น่อง : การเดินเขย่งจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น, ข้อเท้า : การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะ อาจทำให้ข้อเท้าแพลง, เท้า : ส่วนที่รับบทหนัก เพราะต้องรักษาดุลไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อย จนอักเสบ การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

อาการทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนมีรูปเท้า หรือลักษณะเท้าที่แตกต่างกัน เช่น รูปเท้าเรียว อวบนูน จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่รูปเท้าแบนราบ มักเกิดอาการปวดเมื่อย ทั้งนี้เพราะฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ ประกอบกับพื้นรองเท้าส่วนใหญ่จะแคบ ทำให้เท้าถูกบีบรัดตัว ผู้มีรูปเท้าแบน จึงควรเลือกรองเท้าพื้นกว้างๆ จะปลายกว้างหรือปลายแหลมก็ได้

หากมีอาการปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ด้วยน้ำอุ่นจัด ด้วยระดับน้ำที่สูงถึงครึ่งน่อง นาน 10-15 นาที พร้อมทั้งออกกำลังเท้าและนิ้วเท้า โดยกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง เหยียดงอนิ้วเท้า หันฝ่าเท้าสลับเข้า-ออก หรือใช้มือบีบนวดบริเวณอุ้งเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำวนวนมาก จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยลงได้

สำหรับผู้ที่มีอาการเท้าแพลง เบื้องต้นในระยะ 1-2 วันแรก ใช้น้ำแข็งประคบ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง พันด้วยผ้ายืด พักการใช้งานข้อเท้า หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อใช้งานเท้าหนัก ก็ควรดูแลเท้าด้วยวิธีง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน อย่างการทำ ‘สปาเท้า’ เพราะแค่มีมะขามเปียก สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้ สำลี โทนเนอร์ และโลชั่นน้ำนม ก็สามารถทำได้แล้ว

เริ่มจากการขัดด้วยมะขามเปียก ตามด้วยสบู่ ขัดไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย นำแปรงสีฟันมาถูบริเวณรอยดำ รอยด้าน จากนั้นใช้สำลีชุบโทนเนอร์ ขัดบริเวณที่ด้าน เช่น ส้นเท้า สุดท้ายค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ทั่ว คุณก็จะได้เท้าที่สะอาด ผ่อนคลาย หากพอมีเวลาควรทำสปาเท้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์

เห็นทีคุณผู้หญิงคงจะต้องพิถีพิถันกับการดูแลเท้าให้มากขึ้น หากไม่สามารถเลิกสวมรองเท้าส้นสูงทั้งๆ ที่มีอาการปวดเมื่อย ก็ควรลดความสูงลงบ้าง รวมทั้งการฝึกเดิน-ยืน โดยการเขย่ง คล้ายๆ กับเวลาที่สวมรองเท้าส้นสูงเพื่อสร้างความคุ้นเคย และอย่าลืมดูแลเท้าตามคำแนะนำ เพื่อสุขภาพเท้าที่ดี และการเดินบนรองเท้าส้นสูงคู่สวยด้วยความมั่นใจ.

ติดกล้องทั่วกรุง โทรฯแล้วขับจับจริงเริ่ม 8 พ.ค. 51

รองผบช.น. สั่ง 8 พ.ค.จับจริง"ผู้ขับขี่โทรฯขับ"โทษปรับ 400-1,000 บาท ตั้งกล้องวงจรปิด 30 แยกทั่วกรุงจับตา ถ้าพบทำผิดส่งหมายเรียกตรงถึงบ้านพร้อมตรวจจับตีนผีซิ่งฝ่าไฟแดง

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ( รอง ผบช.น.) รับผิดชอบงานด้านจราจร เปิดเผยความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายห้ามโทรศัพท์ขณะขับรถซึ่งมีผลบังคับใช้วั­นที่ 8 พฤษภาคมนี้ว่า เป็นกฎหมายใหม่ที่นำมาบังคับใช้โดยห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถใช้โทรศัพท์มือถือพูดค­ุยขณะขับรถ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่8) พ.ศ. 2551 มาตรา 43 (9) ห้ามมิให้ผู้ขับรถในขณะที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น


หากผู้ใดฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดมาตรา 157 ผู้ผ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43 (9) ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท โดยไม่ต้องกลัวว่าตำรวจไม่เห็นเพราะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด ตามแยกต่างๆ ไว้แล้วรวม 30 แยกหลัก อีกทั้งยังใช้สำหรับการตรวจจับผู้มักฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรด้วย หากตรวจพบจะมีการส่งหมายเรียกไปถึงบ้านให้มารับทราบข้อกล่าวหา


รองผบช.น. กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำหนังสือสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร บก.น.1-9 และ บก.จร. แล้วให้ศึกษาข้อกฎหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วนในระหว่างที่ยังไม่มีการบังคับใช้ และให้ทุกสน.ประชาสัมพันธ์ถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ โดยเน้นการปลูกสร้างจิตสำนึกของผู้ใช้รถใช้ถนนให้คำแนะนำก่อนในระยะนี้ และให้การจับกุมเป็นมาตราการสุดท้ายที่จะนำมาบังคับใช้


อย่างไรก็ตามได้ให้นโยบายไว้ว่า หากตรวจพบผู้ขับขี่มีการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์หรือขี่จักรยานยนต์ซึ่งเ­ป็นเหตุซึ่งหน้าและก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ดำเนินการจับกุมในทันที แต่ต้องใช้ความละมุนละม่อมอย่างที่สุด และอยากให้ประชาชนเคารพกฎหมายไม่ต้องคอยหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงแค่นำอุปก­รณ์เสริมเข้ามาใช้ให้ถูกต้องเพื่อลดอุบัติเหตุ ตำรวจไม่อยากให้ใครต้องถูกจับ


ที่มา คมชัดลึก

วิธีสร้างเสน่ห์ให้ทรวงอก

ทราบหรือไม่ว่าการสร้างเสน่ห์ให้ทรวงอกสามารถทำได้ด้วยตัวเอง วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีมาบอกกัน...


1. เวลาอาบน้ำให้ใช้น้ำเย็นทำความสะอาดบริเวณอก หรือใช้ฝักบัวฉีด (น้ำเย็น) เป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันกระชับตัวขึ้­น


2. นวดเบา ๆ บริเวณหน้าอกด้วยน้ำมัน หรือครีม (โลชั่นน้ำนมบำรุงผิวกาย หรือโลชั่นบำรุงผิวก็ได้) สามารถช่วยให้อกกระชับ และดูสวยขึ้นได้


3. การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอก จะช่วยป้องกันการหย่อนยานได้ ถ้าไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีใดก็ควรไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับการบริหารกล้า­มเนื้อมาอ่านได้


4. เลือกซื้อยกทรงให้ได้ขนาดพอดีกับทรวงอกและควรลองสวมใส่ก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้­ง ไม่ควรสวมให้แน่นเกินไป และไม่ควรเลือกซื้อยกทรงในขณะที่กำลังมีประจำเดือนเนื่องจากในช่วงนี้ฮอร์โมนมี­การเปลี่ยนแปลง ทรวงอกจะขยายตัวใหญ่ขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมลูก ต้องเลือกใส่เสื้อยกทรงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันการหย่อนยาน


5. อย่าลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีส่วนทำลายสุขภาพแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน และเป็นสาเหตุให้เกิดรอยแตกที่ผิวหนังทั้งในบริเวณหน้าอก แขน และหน้าท้องได้


6. ควรปรับปรุงอิริยาบถในการเดิน นั่ง ยืดไหล่ ยืดหลังให้ผึ่งผาย เดินหลังตรง ซึ่งจะช่วยให้หน้าอกดูเต่งตึงขึ้นได้


ถ้าอยากมีทรวงอกที่มีเสน่ห์ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ทายนิสัย จากรสชาติอาหาร

เกมส์จิตวิทยา ทายนิสัย จากรสชาติอาหาร ที่น้องๆชอบรับประทาน หลายคนอาจจะชอบรสชาติอาหารที่แตกต่างกันไป ซึ่งหมายถึงลักษณะนิสัย ของคนที่มีความชอบ แตกต่างกันด้วย ไปลองทดสอบ ดูว่า เกมส์จิตวิทยา เกมส์นี้จะทายนิสัย ได้ตรงกับน้องๆ หรือเปล่า?


คนที่ชอบอาหารรสหวาน จะเป็นคนใจบุญ ขี้สงสารคน อารมณ์ดีร่าเริงสดใสแต่บางครั้งก็ดู เหมือนเว่อร์ ๆ ไปหน่อย ชอบกีฬา และโปรดปรานเสียงเพลง ส่วนทางด้านความรักจะเป็นคนที่รักง่ายหน่ายเร็ว แต่ถ้ารักใครก็รักจริง


ข้อเสียคือขี้หึงเต็มร้อย มักจะเป็นคนที่มีจิตใจโลเลเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองเท่าไหร่นัก มักจะเป็นคนช่างฝัน มีโลกส่วนตัว มีความเป็นมิตรสูง ไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ ก็เอาเรื่องถ้าถูกหักหลัง


ชอบอาหารรสเค็ม ส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยเหมือนรส คือขี้งก มักได้ ชอบอะไรที่ไม่ต้องลงทุนแต่หวัง ว่าจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมามาก ขี้เหนียว เวลาไปไหนกับคนชอบเค็มเรามักจะต้องควักจ่ายมากกว่า แต่หากได้กินเงินของเค้าละก็ ต้องถือว่าชาติก่อนทำบุญมาดี


เป็นคนที่ขยันทำงาน เก็บเงินเก่ง แต่งตัวปอน ๆ ซ้ำ ๆ ประมาณว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สนขอแค่เงินในบัญชีไม่พร่อง ด้านความรักจะเป็นคนไม่ชอบแสดงออก บวกกับไม่ค่อยทุ่มด้วยแล้ว จึงมักจะกินแห้วอยู่เสมอ แต่ก็เป็นคนที่รักความสงบและไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ๆ นัก


ชอบอาหารรสเปรี้ยว เป็นพวกสังคมจัด ชอบออกงาน ชอบคบค้าสมาคมกับคนทุกระดับ จะเป็นคนที่ช่างพูดช่างเจรจา ชอบทำตัวเด่น แต่บางครั้งก็ โอเว่อร์เกินหน้าเกินตาคนอื่นทำให้ถูกหมั่นไส้ได้


หาเงินคล่องแต่ก็ใช้เงินเก่ง แต่ก็ยังมีเหลือเก็บบ้างเหมือนกัน ส่วนข้อเสียคือ ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเลยทำอะไรไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก และไม่ชอบที่จะทำงานที่ต้องออกแรงเยอะอีกด้วย ออกจะติดแนวรักสบายไปสักหน่อย


ชอบอาหารรสเผ็ด เป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว รุนแรง ตัดสินใจเด็ดขาด โกรธง่ายแต่หายเร็ว ปากร้ายแต่ก็ใจดี เป็นคนฉลาดทันคน พูดจาตรงไปตรง มาคิดอย่างไรว่าอย่างนั้น จะเป็นคนที่มีความมานะ อดทน และมีความเพียรพยายามสูง เรียกว่าตั้งใจทำ อะไรถ้ายังไม่สำเร็จตามที่คิดไว้ก็จะทำให้เสร็จ และจะไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว


เป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร แต่ถ้าลองได้รักใครแล้วทุ่มสุดใจถวายชีวิตเชียวแหละ


ชอบอาหารรสจืด เป็นพวกเศรษฐกิจพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี มีแค่ไหนใช้แค่นั้น แต่บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นคนไม่ค่อยขวนขวายกระตือรือร้น เป็นคนหนักเอาเบาสู้งานมากงานน้อยไม่หวั่น ว่านอนสอนง่ายใครว่าไงก็ว่าตาม อยู่ง่ายกินง่าย ชอบ แต่งตัวสบาย ๆ


ข้อเสียของคนชอบรสจืดคือเป็นพวกคน ขี้ใจน้อย ขี้สงสาร ใจอ่อน มักจะชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน เลยโดนคนอื่นหลอกอยู่บ่อย ๆ.

วิธีพักสายตาระหว่างการทำงาน

คยนับ ๆ ดูบ้างหรือเปล่าคะว่าคุณต้องใช้สายตาเพ่งงานอยู่วันละกี่ชั่วโมง (ใครไม่เคยนับอาจตกใจได้นะคะ) การใช้สายตาอย่างมากมายนี่เองค่ะที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการล้า ปวดเมื่อยสายตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่าวิธีบรรเทาอาการเพลียตา (ด้านล่าง) นั้นช่วยให้การมองของคุณดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกต่างหากด้วย...



เทคนิคการโฟกัส (สำหรับการพักสายตา)


1.. มองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง หรือมองออกไปไกล ๆ
จากงานที่อยู่ตรงหน้าเท่าที่จะสามารถทำได้


2.. วัตถุที่คุณมองนั้นควรอยู่ห่างจากคุณอย่างน้อย 20 ฟุต


3.. เคลื่อนสายตามองไปรอบ ๆ และมองไปที่สิ่งอื่น ๆ
หรือวัตถุอื่น ๆ บ้าง


4.. ย้อนกลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง


5.. ทำซ้ำตามวิธีนี้บ่อย ๆ ในวันทำงานของคุณ


การปิดฝ่ามือ (สำหรับการพักสายตา)


1.. ทำมือเป็นลักษณะรูปถ้วยปิดรอบดวงตา วางพักมือบนโหนกแก้ม (หลีกเลี่ยงการกดลงบริเวณลูกตา)


2.. ประสานมือไขว้ไว้เหนือดั้งจมูกเพื่อบังแสงสว่าง


3.. หลับตาลงประมาณ 15 วินาที แล้วให้หายใจเข้า หายใจออกลึก ๆ


4.. เปิดฝ่ามือ แล้วลืมตาขึ้น
รู้สึกดีขึ้นไหมคะ...

คุณเป็นสาวสีอะไร??

สาวสีแดง
เกิดวันที่ 23ธันวาคม - 1มกราคมและ 25มิถุนายน - 4 กรกฎาคม
คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักเลยมักจะตกหลุมรักบ่อยๆ
และคุณก็ชอบที่จะเป็นอย่างนั้นซะด้วยคุณเป็นคนที่สดใสร่าเริง
แต่ก็มีโวยวายบ้างในบางครั้ง
งานที่คุณถนัดคืองานที่เทคแคร์ผู้คน
จงภูมิใจเถิดว่าคุณเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด
สำหรับผู้ชายที่คุณชอบคือผู้ชายไม่เรื่องมาก
และทำให้คุณสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเขา


สาวสีชมพู
เกิดวันที่ 24 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ และ 26กรกฎาคม -4 สิงหาคม
สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด
เป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ
คุณไม่ใช่คนที่พอใจอะไรง่ายๆและออกจะมองโลกในแง่ลบสักหน่อย
และคุณเฝ้ารอใครบางคนที่จะทำชีวิตรักของคุณเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย


สาวสีส้ม
เกิดวันที่ 2 - 11 มกราคม และ 5 -14 กรกฎาคม
คุณมีความรับผิดชอบต่องานและรู้วิธีการจัดการกับคนที่คุณทำงานด้วย
คุณมักเป็นคนเอาจริงเอาจัง
มีจุดมุ่งหมายในชีวิตและเป็นนักสู้
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์
คุณออกจะเป็นผู้หญิงที่เชื่อคนยากสักหน่อย
แต่เมื่อคุณเจอตัวจริง คุณจะเชื่อใจเขาตลอดไป


สาวสีเหลือง
เกิดวันที่ 12-23 มกราคม และ 15-25 กรกฎาคม
เจอแล้วสาวหวานตัวจริง
แถมไร้เดียงสาอีกต่างหาก ไว้ใจคนง่าย
และมักจะเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อน
คุณมักจะตัดสินใจอะไรเองได้เสมอ
และมักจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยสิ
และที่สำคัญคุณใฝ่ฝันที่จะพลรักที่สุดแสนจะโรแมนติก


สาวสีฟ้า
เกิดวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ และ 5-13 สิงหาคมและ 1-14 พฤษภาคม
คุณไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก อ่อนไหว และมีความเป็นศิลปินสูง
และชอบที่จะรักคนอื่น เรียกได้ว่าเสพติดความรักที่เดียวแหละ
มีบ่อย ๆ
ที่คุณทำให้ความรักหลุดลอยไปเพราะคิดมักจะรักด้วยความรู้สึก


สาวสีน้ำตาล
เกิดวันที่ 19-28 กุมภาพันธ์ และ 24 สิงหาคม -2 กันยายน
คุณนี่แหละเป็นผู้หญิง Hyper ของแท้ กระฉับกระเฉง และ Active
ตลอดเวลา
และคุณเป็นเพื่อนกับคนยาก แต่เป็นแฟนกับคนง่าย ไม่ใช่ใจง่าย
แต่คุณชอบที่จะรักคนอื่นมากกว่า
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกผิดหวังกับอะไร
คุณก็ยินดีจะหันหลังให้กับมันและยิ้มกับชีวิตตัวเองอย่างรวดเร็ว


สาวสีเขียว
เกิดวันที่ 9-18 กุมภาพันธ์ และ 14-23 สิงหาคม
คุณคือผู้หญิงที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆได้ดี
บางครั้งคุณเป็นคนเงียบขรึม
แต่ก็พูดต3คุณออรงจนบางทีทำร้ายความรู้สึกคนอื่นเพราะคำพูดของคุณ
คุณชอบที่จะเป็นที่รัก ดังนั้น บ่อยๆ
ที่คุณจะคิดค้นวิธีน่ารักๆ
เรียกร้องความสนใจจากคู่รักของคุณ
แต่โดยส่วนใหญ่ คุณมักจะใช้ชีวิตโสด
และคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องเนื้อคู่เอามากๆ
ถ้าคุณแต่งงานคุณจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและรักเดียวใจเดียว


สาวสีน้ำทะเล
เกิดวันที่ 1-10 มีนาคม และ 3-12 กันยายน
สาวน้ำทะเลนี่แหละ สาวเจ้าอารมณ์
คุณจะเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ทุกๆ 3 นาที
รักการท่องเที่ยวและเป็นคนขี้เหงาเอามากๆ
คุณเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็เชื่อคนง่าย
เป้นคนที่ค่อนข้างจะผิดหวังในเรื่องความรักเอามากๆ
และมักเสียความรักไปอย่างง่ายๆ


สาวสีเขียวมะนาว
เกิดวันที่ 11-20 มีนาคม และ 13-22 กันยายน
คุณคือภูเขาไฟย่อยๆ เลยล่ะ เพราะเมื่อคุณเฉย
คุณจะเป็นผู้หญิงเงียบๆ
แต่ถ้าโมโหก็เอาไม่อยู่เหมือนกันออกจะขี้หึงนิดๆ
และขี้บ่นหน่อยๆ
คุณไม่ใช่คนที่ยึดติดกับอะไร
แต่คุณมีบุคลิกพิเศษที่ทำให้ผู้คนมักจะเชื่อถือคุณ
และเป็นที่นิยมชมชอบเสมอ


สาวสีดำ
เกิดวันที่ 21 มีนาคม
คุณคือผู้หญิงที่ชอบความท้าทายชนิดน่าหวาดเสียวทีเดียว
แต่ภายในใจลึกๆ คุณไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่
ถ้าคุณตัดสินใจดำเนินชีวิตอย่างไร
คุณก็จะใช้ชีวิตอย่าง3คุณออนั้นเป็นเวลานานกว่าจะเปลี่ยน
ชีวิตรักของคุรจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นและมีอะไรแปลกๆ
ประเภท Surprise อยู่เสมอ


สาวสีเขียวมะกอก
เกิดวันที่ 23 กันยายน
สาวแสนอบอุ่นตัวจริง
แต่บางครั้งคุณก็เป็นคนใจอ่อนเกินไป
มักจะโอนอ่อนผ่อนตามครอบครัวหรือเพื่อนๆ เสมอ
อย่างไรก็ตาม คุณเป็นผู้หญิงที่รู้จักตัวเอง
รู้จักอะไรผิดอะไรถูก
จิตใจดี ร่าเริงแจ่มใส และไม่ใช่คนขี้อิจฉาแน่นอน


สาวสีม่วง
เกิดวันที่ 22-31 มีนาคม และ 24 กันยายน - 3 ตุลาคม
คุณนี่แหละแม่สาวเจ้าอารมณ์
แต่เพราะความเจ้าอารมณ์นี่เองที่ทำให้คุณเป็นคนน่าค้นหา
เสแสร้งไม่เป็น คุณมักจะเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ประจำกลุ่ม
แต่ก็มีบ่อยๆ ที่คุณครองตำแหน่งสาวเอ๋อประจำกลุ่มด้วยเหมือนกัน
เพราะคุณมักทำเปิ่นๆ เสมอ ขี้ลืมในบางครั้ง
ผู้ชายในฝันของคุณจะต้องเป็นคนที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ


สาวสีเงิน
เกิดวันที่ 11-20 เมษายน และ 14-23 ตุลาคม
คุณนี่แหละสาวจินตนาการสูง ขี้อาย
แต่ก็ชอบหาสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต
คุณชอบทำอะไรที่ท้าทายความสามารถ เป็นคนเรียนรู้เร็ว
ชอบอะไรที่ได้มายากๆ ความรักของคุณมักจะมีเรื่องยากๆ ให้แก้
และสับสนตลอดเวลา


สาวสีเขียวทหาร
เกิดวันที่ 1-10 เมษายน และ 4-13 ตุลาคม
คุณคือผู้หญิงที่น่าสนใจและรักการใช้ชีวิตของตัวเอง
อารมณ์อ่อนไหว และมักรู้สึกกับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบรอบๆ ตัว
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่อะไรใกล้ๆ ตัว
มักทำลายสมาธิคุณเสมอ
แต่คุณก็น่ากลัวใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะเมื่อคุณโกรธใคร
จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คุณจะยกโทษให้เขาคนนั้น


สาวสีขาว
เกิดวันที่ 21-30 เมษายน และ 24 ตุลาคม - 11 พฤศจิกายน
คุณมีฝันและเป้าหมายแน่นอนให้ชีวิตบางครั้งคุณเป็นคนขี้อิจฉา
และไม่ยอมทำอะไรซ้ำเดิม หรือเรียกว่าใจแข็งก็ว่าได้
คุณเป็นคนที่มีความแตกต่างในตัวเองสูง
และมักตั้งความหวังไว้กับคนรอบข้างสูงเช่นกัน


สาวสีครีม
เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน และ 22 พฤศจิกายน - 1
ธันวาคม
คุณมักจะเป็นผู้หญิงนักสู้ในหมู่เพื่อนๆ
ชอบการแข่งขันการเอาชนะ
มีความทะเยอทะยาน น่าเชื่อถือ ตกหลุมรักยากมาก
เพราะคุณเป็นคนเชื่อเรื่องรักแท้
ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าหากคุรเจอผู้ชายที่ถูกใจแล้ว
คุณจะรักเขานานแค่ไหน


สาวสีทอง
เกิดวันที่ 15-24 พฤษภาคม และ 12-21 พฤศจิกายน
คุณรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ร่าเริงแจ่มใส ทะเยอทะยาน
เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะหาคนถูกใจ
แต่เมื่อไหร่ที่คุณเจอคนถูกใจ
คุณจะติดกับอยู่กับเขาไปนานแสนนาน


สาวสีเทา
เกิดวันที่ 4-13 และ 24 มิถุนายน และ 2-11 ธันวาคม
คุณคือผู้หญิงที่มีความดึงดูดทางเพศสูง และมีค'b3วาม Active
สูงด้วย
จริงใจ จนบางครั้งคุณเป็นคนเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
ชอบเรียกร้องความสนใจ
และเกลียดผู้ชายที่ไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย
อย่างไรก็ตาม คุณคือผู้หญิงที่คารมดี
สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุข
ที่สำคัญคุณมีอารมณ์ขัน จนคนขำกลิ้งทีเดียว


สาวสีเลือดหมู
เกิดวันที่ 14-23 มิถุนายน และ 12-22 ธันวาคม
คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และมักจะจัดการปัญหาต่างๆ
ตามวิธีการของคุณ
ออกเผด็จการหน่อยๆ ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในตัวเอง
และไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกคนอื่นส่วนในเรื่องความรักคุณเป็นคนป่วยโรคฝังใจในรัก­เ ก่าขั้นโคม่าทีเดียว

เข้าห้องน้ำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้­้อ

บทความจากสภากาชาดไทย :
http://www.redcross.or.th


เชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู
แต่โอกาสที่เราจะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรคหรือเป็นอันตรายนั้นน้อยมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลที่ว่า


1.เชื้อพวกนี้จะสามารถก่อให้เกิดโรคได้ ต้องมีปริมาณที่มากพอ เราอาจไปสัมผัสกับเชื้อพวกนี้ก็จริง แต่ปริมาณไม่มาก จึงไม่เกิดอันตรายใดๆ


2.เชื้อพวกนี้มักจะเจริญเติบโตได้ดีในร่างกายคนเรา แต่เมื่อออกมาสัมผัสกับแสง และอุณหภูมิภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป เชื้อมักจะมีชีวิตอยู่ไม่นานพอที่จะติดต่อไปสู่คนอื่น


3.เชื้อพวกนี้จะก่อให้เกิดโรคได้ ต้องมีหนทางที่จะผ่านเข้าไปในร่างกายของคนเรา เช่น ผ่านเข้าทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก
การที่เราไปสัมผัสและเชื้อนั้นติดอยู่กับผิวหนังเฉยๆ จะไม่ทำให้เกิดโรค เพราะผิวหนังเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่า­งดี


4.หากได้รับเชื้อเข้าไปจริง ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกันที่คอยจัดการเจ้าเชื้อโรคแปลกปลอมนี้อยู่แล้ว


น.พ.เชิดพงษ์ แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะไว้ว่า
ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด
ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ


ที่สำคัญเมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา

สอนท่านอนให้หัวใจเต้นสะดวกนอนก­อดหมอนข้างตะแคงขวา

บทความจากสภากาชาดไทย :
http://www.redcross.or.th

นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ

มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน
และตื่นนอนด้วยความสดชื่นไม่รู้สืกปวดเมื่อยซึ่งโดยปกติคนทั่วไปนิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน

การนอนหงายที่เหมาะสมนั้นควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ

อย่างไรก็ตามท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ

เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวกส่งผลทำให้การทำงานของหัว­ใจลำบากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา
เพราะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากระเพะจะถูกบีบลงสำไล้เล็กได้ดี
ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้
แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวล­านาน

อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่
เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร
ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ
เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน

ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้น

~* บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม? *~

มีเมืองเล็ก ๆ ที่สวยและสงบสุขเมืองหนึ่ง มีคู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมาก ทุกวันพวกเขาจะพากันไป ดู ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด และไปส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ชายหาดตอนโพล้เพล้ ทุกคนที่เคยพบเจอพวกเขาจะมองด้วยสายตาอิจฉาในความรักของคนคู่นี้เสมอ

แต่แล้ววันหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น หญิงสาวผู้โชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เธอก็ยังคงไม่ฟื้นคืนมา ตอนกลางวัน ชายหนุ่มจะมาเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง ร้องเรียกคนรักของเขาเสมอ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ตอบสนองใด ๆ เลย ตกกลางคืน ชายหนุ่มจะไปสวดภาวนาออนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่โบสถ์นอกเมือง เขาร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว
ผ่านไป 1 เดือน หญิงสาวยังคงหลับใหลไม่ฟื้นเหมือนเดิม ส่วนชายหนุ่มก็ดูจะซูบเซียวขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังคงสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอไม่หยุด แต่แล้ววันหนึ่ง พระผู้เจ้าก็เกิดเห็นใจในรักของชายหนุ่มและตกลงที่[ประทาน]พรให้แก่เขา พระผู้เป็นเจ้าได้ถามชายหนุ่มว่า

"เจ้ายอมที่จะแลกพรนี้ด้วยชีวิตของเจ้าไหม"
ชายหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลว่า " ผมยอมครับ"
พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า "งั้นดีฉันจะให้คนรักของเจ้าฟื้นขึ้นมา แต่เจ้าต้องแลกกับการกลายเป็นแมลงปอเป็นเวลา 3 ปี เจ้าจะตกลงยอมไหม"
ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น แต่ก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม "ผมยอมครับ"

ฟ้าสางแล้ว ชายหนุ่มได้กลายเป็นแมลงปอสวยงามตัวหนึ่ง เขาบอกลาพระผู้เป็นเจ้าแล้วรีบบินกลับไปที่โรงพยาบาล หญิงสาวฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ มีนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างหนึ่ง แต่ช่างเสียดายที่เขาไม่สามารถที่จะได้ยิน

หลายวันผ่านไป หญิงสาวแข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่เธอดูไม่มีความสุขเลย เธอออกตะเวณหาข่าวคราวของชายหนุ่ม แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มหายไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวยังไม่ละความพยายามที่จะตามหาชายคนรักของเธอ ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในร่างของเจ้าแมลงปอได้[แต่]บินวนเวียนอยู่รอบตัวหญิงสาวไม่ห่­าง [ทว่า]เขาไม่สามารถที่ส่งเสียง ไม่สามารถโอบกอด[เธอ] เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดูหญิงสาวไม่ให้คาดสายตาเท่านั้น

ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่ เจ้าแมลงปอจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาว เขาอยากใช้ปีกของเขาลูบใบหน้าของหญิงสาว อยากใช้ปากเล็ก ๆ จูบที่หน้าผาก แต่อย่างไรก็ดีร่างเล็กบอบบางในคราบของแมลงปอก็ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากห­ญิงสาวได้

แค่พริบตา ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน เจ้าแมลงปอรีบบินกลับมาหาคนรักของเขา เพื่อจะพบว่าร่างอันคุ้นตานั้น บัดนี้ได้ยืนเคียงคู่อยู่กับชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง ภาพ ๆ นั้นทำให้เจ้าแมลงปอเกือบจะบินตกลงมาจากอากาศเลยทีเดียว ชาวบ้านต่างกล่าวขานถึงเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให­้ได้พบกับแพทย์หนุ่มที่น่ารักและใจดีคนนั้น และยังกล่าวถึงความรักของคนทั้งคู่ที่เหมือนถูกกำหนดมาอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนพวกเขายังคงพูดถึงหญิงสาวที่สดใสร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากมายนัก เจ้าแมลงปอรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน แมลงปอเห็นแพทย์หนุ่มผู้นั้นพาคนรักของตนไปชายทะเลเพื่อดูพระอาทิยต์ขึ้น พลบค่ำก็อยู่[ที่]ชายหาดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่สำหรับเขาแล้ว นอกจากบินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาวแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย หน้าร้อนของปีนี้ช่างยาวนานนัก เจ้าแมลงปอบินต่ำลง ๆ ทุกวันด้วยความรู้สีกที่เจ็บปวด เขาไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะบินเข้าใกล้หญิงอันเป็นที่รัก ท่าทางการพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของคนทั้งคู่ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งคู่ ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก
ย่างเข้าฤดูร้อนของปีที่ 3 เจ้าแมลงปอไม่ค่อยไปเฝ้าดูคนรักของเขาแล้ว บ่าของเธอบัดนี้ถูกโอบกอดด้วยมือของแพทย์หนุ่ม ใบหน้าถูกประทับจูบอย่างเบา ๆ จากเขาผู้นั้น ดูท่าทางแล้วไม่มีทางเลยที่หญิงสาวจะมีเวลาที่จะไปคิดถึงแมลงปอที่เจ็บปวดตัวหน­ึ่ง ยิ่งไม่มีทางที่จะไปคิดถึงอดีตสิ่งที่ผ่านไป

วันครบรอบปีที่ 3 ที่พระผู้เป็นกำหนดไว้ใกล้มาถึงแล้ว คนรักของเจ้าแมลงปอกับนายแพทย์หนุ่มได้จัดพิธีแต่งงานขึ้นในวันสุดท้ายนั้นเอง เจ้าแมลงปอค่อย ๆ บินเข้าไปในโบสถ์ และไปเกาะที่บ่าของพระผู้เป็นเจ้า เขาได้ยินเสียงของคนรักที่ดังมาจากข้างล่างตอบรับคำสาบานของพระผู้เป็นเจ้าว่า "ฉันยอมรับ" เขาเห็นแพทย์หนุ่มคนนั้นสวมแหวนให้คนรักของเขา ตามด้วยจุมพิตที่แสนหวานของคนทั้งคู่

เจ้าแมลงปอปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา พระผู้เป็นเจ้าถามแมลงปอว่า "เจ้ารู้สึกเสียใจไหม"
เจ้าแมลงปอเช็ดน้ำตาแล้วตอบว่า "เปล่า"
พระผู้เป็นเจ้าถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า "งั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ได้กลับเป็นเจ้าคนเดิมแล้ว"
เจ้าแมลงปอส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนตอบว่า "ขอผมเป็นแมลงปออย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถอะครับ"
บางบุพเพ[ชะตา]ถูกกำหนดมาเพื่อที่ต้องสูญเสียไป บาง//บุพเพ//ตอนจบไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด รักคน ๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับรักตอบ
แต่ เมื่อได้รับรักจากใครคนหนึ่ง เราต้องดูแลรักษามันไว้อย่างดี บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม?

5 สถานที่พิสูจน์ รักแท้หรือรักลวง

รักแท้หาได้จากที่ไหน แน่นอนคงไม่มีขายตามท้องตลาด ระยะทางและเวลาต่างหากที่เป็นเครื่องพิสูจน์และนำไปค้นหาจนเจอ

1. พิชิตยอดภู อย่างเช่นหลายคู่ที่เลือกพิสูจน์รักแท้โดยปีนป่ายขึ้นที่สูงที่ "ภูกระดึง" หากคู่รักคนไหนที่สามารถฉุดลากดึงคู่รักของตัวเองขึ้นไปด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน­ขึ้นไปจนพิชิตยอดภูกระดึงได้ เชื่อกันว่าหนุ่มสาวคู่นั้นจะเห็นอกเห็นใจพิสูจน์น้ำอดน้ำทนและมอบความรักให้แก­่กัน อีกทั้งเชื่อว่าเป็นรักแท้ หรือบางครั้งอาจจะพบรักแท้จากเพื่อนสนิทในวันลำบากก็เป็นได้ ความเชื่อนี้พิสูจน์มาแล้วหลายคู่ แต่ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติ มีรักก็มีเลือก เพราะจิตใจมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและแรงดึงดูด วันที่ช่วยเหลือกันไต่เขานั้นอาจจะเป็นการเอาชนะใจตัวเองเพื่อต้องการจะได้ใจจา­กอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อลงมาถึงข้างล่างแล้วก็ถือว่าชนะแล้วจบกันกลายเป็นความทรงจำสีจาง ส่วนบางคู่ที่ขึ้นไปไม่ถึงยอดหรือระหว่างทางไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แต่กลับมองเห็นธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวของอีกคนที่เราคิดจะฝากผีฝากไข้ ตั้งความหวังไว้มากแต่สุดท้ายก็จบตั้งแต่เริ่มไต่ภูขึ้นมาได้แค่ 200 เมตรแรกแล้ว พอลงจากเขามาได้หน้าก็แทบไม่อยากมอง แต่บางคู่ก็กลับมารักกันและคบกันยืดกว่าคู่หวานหยดที่ช่วยพยุงดันก้นกันขึ้นไปพ­ิชิตรักกันบนดอยเสียอีก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนเพราะบางครั้งการพิสูจน์รักแท้ระยะทางอาจ­จะตัดสินได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมดต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจกันเป็นส่วนประกอบด้วย

2. ติดเกาะ ติดเกาะในที่นี้ไม่ใช่ในแบบละคร "จำเลยรัก" ที่พระเอกกับนางเอกไปพบรักกันเพราะจับตัวผิดมาทรมานจนปางตายกว่าจะรักกันได้ เกาะที่ว่านี้คือ "เกาะเสม็ด" ใครที่ไปเที่ยวต้องระวังไว้เพราะกลับมาทีไรมักจะเจอคำว่า "ไปเสม็ด เสร็จทุกราย" ไม่รู้ว่าประโยคนี้ไปกระตุ้นต่อมความอยากหรือความต้องการของใครเข้าบ้าง ระยะหลังๆ นอกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นิยมไปนอนติดเกาะซึมซับไอทะเล ทรายละเอียด น้ำสีเขียว กับความเงียบสงบ (บางครั้ง) ของเกาะ เสม็ด ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่วัยรุ่ยไทยสมัยนี้ฮิต! ยึดเป็นที่ท่องเที่ยวและที่เสียตัวกันมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ผลสำรวจคงยังไม่มีมากล่าวอ้าง แต่เท่าที่เจรจาปราศรัยกันเจ้าของรีสอร์ท บังกาโล ของที่นั่น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เด็กๆ มาเยอะ บางครั้งมาเป็นกลุ่ม บางคนมาเป็นคู่ แต่ในกลุ่มก็มีคู่ที่แยกออกมาอีก" ใครที่เคยข้ามไปยังเกาะไม่ร้างรักแห่งนี้คงจะอิจฉาตาร้อนผ่าว เพราะแต่ละคู่เดินควงแขนกันเดินทอดน่องอยู่ริมหาดเดินสวนกันไปมาทั้งหัวดำหัวแด­ง แต่จะพิสูจน์รักกันท่าไหนต้องลงไปถามคู่รักแต่ละคู่ดู ซึ่งบางคู่อาจจะมาพิสูจน์ความจริงใจของอีกฝ่าย ว่าจะมีน้ำใจเป็นนักกีฬาขนาดไหน (ขอเตือนว่าวิธีนี้เสี่ยงมาก) สำหรับผู้หญิงบางคนอาจจะต้องการพิสูจน์ให้ฝ่ายชายทราบว่ารักจริงแค่ไหนจึงยอมพร­้อมใจถวายตัวถวายใจ โดยอ้างบรรยากาศเป็นใจ (อันนี้สมัครใจ) ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอย "รูดม่านส่องไฟ" ตามม่านรูดจะลองแวะเวียน "ข้ามเกาะเคาะประตู" อาจจะจับได้มากกว่า 1 คู่ แน่ๆ

3. ล่องแพ การล่องแพ ไม่ต้องออกแรงเหมือนปีนเขาอาจจะคล้ายการข้ามเกาะ แต่ว่าอิสระกว่ากันมาก เพราะแพจะล่องไปเรื่อยๆ ตามแม่น้ำแคว ของเมืองกาญจนบุรี ใช้เวลาไปกลับตามแต่ลกลงราคากับเจ้าของแพ แพที่ว่านี้มีหลายแบบ หากเป็นวัยรุ่นจะเลือกนั่งแพเธคที่มีเครื่องเสียงติดลำโพงพร้อมไฟดิสโก้ ยิ่งดังยิงดี แต่ก็มีแบบที่ว่าล่องไปล่องกลับชมธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นแนวคิดแรกของการสร้างแพล่อง สุดท้ายกลายมาเป็นแพเธคส่งเสียงอึกทึกครึกโครมจนต้องมีการเข้าไปควบคุมกันทีเดี­ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแพแบบที่ไปเย็นกลับเช้า ล่องกันทั้งคืน ซดเหล้ากันยันสว่าง เต้นเหนื่อยก็ขึ้นไปนอนพักที่ชั้น 2 ซึ่งแพเธคต่อขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งหรือไม่ก็ลากไปพร้อมกัน 2 แพ หากลูกค้าจำนวนมาก แล้วต้องการนอนแบบเป็นสัดเป็นส่วนก็เลือกได้ ในระหว่างที่เพื่อนกำลังสนุกคลื่นแคลงกันนี่เอง จะมีหนุ่มสาวบางคู่ที่ซุ่มเงียบหามุมไปพรอดรักมองสายน้ำที่ไหลเป็นระลอกคลื่นน้­อยๆ กับลมที่พัดโชยมาพอให้รู้สึกขนลุกเล็กน้อย ก่อนจะชวนกันไปพิสูจน์รักกันถึงแพ ไม่แลสายตาเพื่อนที่จับตามอง

4. หลงป่า นับเป็นวิธีการพิสูจน์รักที่เลวร้ายที่สุดวิธีหนึ่งของความรัก เพราะคงไม่มีใครอยากให้ตัวเองและคนรักต้องเดินหลงทางออกไปจากกลุ่มเพื่อนพ้องเพ­ราะไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าในยามนั้นคนที่เราต้องการที่สุดในชีวิตในตอนนั้นก็คือ คนที่หลงป่าไปด้วยกันนั่นแหละ แต่จะเป็นคนที่ต้องการตลอดชีวิตหรือไม่นั่นต้องมาพิสูจน์กันหลังออกจากป่า บทรักนี้จึงเป็นการพิสูจน์รักแบบไม่ตั้งใจ คนเราจะเห็นใจกันก็เมื่อถึงคราวที่ต้องตกระกำลำบากด้วยกันนี้เองว่ามิตรภาพของค­นสองคนจะกลายเป็นมิตรหรือศัตรู

5. บ้าน รับรองว่าที่แห่งนี้จะมีความรักแท้ที่ไม่ตัองไปไขว่คว้าหาจากที่ไหนให้เหนื่อยเ­พราะเมื่อไรที่เราท้อแท้ผิดหวัง และต้องการกำลังใจจากใครสักคน บ้านจะเป็นที่ให้ความอบอุ่นและมอบความรักอย่างบริสุทธิ์ให้คนเราเสมอ "ความรัก" ที่ไม่ต้องการการตอบแทน ไม่ต้องการการพิสูจน์ เป็นรักแท้จาก "พ่อแม่ ลูก หลาน พี่น้อง ญาติ "