วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ปล่อยไปเถอะอย่ามาทำร้ายกันเลย

ปล่อยไปเถอะอย่ามาทำร้ายกันเลย (08/05/2008)

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------



เราไม่อาจห้ามเธอไปไหนมาไหนกับคนเก่าได้

เธอไม่อาจตัดความสัมพันธ์กับคนเก่าได้

ที่ผ่านมาทั้งหมดมันก็แค่คำหลอกลวง

ทุกวันเธอก็ได้ทำร้ายฉันมามากพอแล้ว

กะอีกแค่คนไกลที่ไม่ค่อยรู้จัก เรามันเป็นแต่คนไกล

จะเป็นหรือตายเธอก็ไม่รู้สึกอะไรกับฉันอีกแล้ว

เรามันเป็นแค่ขยะทางอารมณ์และขยะแห่งความเลว

ไว้เป็นที่ระบายหรือจะย่ำยีก็ได้หรือจะทำชั่วร้ายกับเรา
จะทำร้ายฉันอีกกีร้อยครั้งเธอเองก็ไม่รู้สึกผิด
เพราะเธอมีคนดีๆที่ให้ความรักกับเธออยู่แล้ว

หรือถ้ายังจะทำแบบนี้ก็ฆ่าฉันให้ตายไปเลยดีกว่า
อย่ามาทำร้ายกันเลย

ไปให้ไกลจากเราซะเราไม่อยากให้เธอมาทรมาณใจฉันอีกแล้ว

ในเมื่อที่เธอไม่รักเราแล้วมาทำร้ายเราทำไม

ผมดัดดูแลยังไงไม่ให้เสียทรง

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------

ผมดัดดูแลยังไงไม่ให้เสียทรง
การดัดผม หมายถึง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเส้นผม เปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตา เปลี่ยนโครงสร้างเส้นผมอย่างถาวร ทำให้เกิดการโค้งงอเพื่อความสวยงามชนิดถาวร สาเหตุก็เป็นเพราะ สารเคมีที่อยู่ในน้ำยาดัดผมบนแกนม้วนผมจะซึมซาบเข้าไปทำปฏิกริยากับโครงสร้างเส้นผมให้ดูนุ่มนวลขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของแกนแต่ละชนิดด้วย ยิ่งแกนใหญ่เท่าไหร่ก็จะช่วยให้ลอนผมดูนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของน้ำยารักษาสภาพลอนผมให้อยู่ตัว ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกลาง

เช่นเดียวกับการยืดผมก็จะใช้ขั้นตอนเดียวกัน เพียงแต่อาจใช้หวีช่วย โดยการหวีจากรากจรดปลายเส้นบ่อยๆ ก็จะช่วยให้เส้นผมเหยียดตรงได้

ซึ่งถ้าไม่ชอบในผมที่เปลี่ยนไปก็ไม่สามารถทำให้ผมกลับคืนมาตรงได้เหมือนเดิม ในเวลาที่รวดเร็ว ต้องรอให้ผมส่วนที่งอกใหม่ยาวออกมาเสียก่อน หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือต้องดัดผมซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มีการเรียงตัวทางโครงสร้างของผม





เคล็ดลับและไม่ลับ สำหรับสาวผมดัด

1. ใช้แชมพูสำหรับผมแห้งซึ่งมีน้ำมันซิลิโคนที่มากสักหน่อยเป็นประจำ จะช่วยให้ผมลื่นและดูเงางาม
2. ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำให้เจือจาง นำมาชโลมเส้นผมหลังจากล้างน้ำครั้งสุดท้ายทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบขึ้น หวีง่ายขึ้น และสะท้อนแสงไฟได้ดีขึ้น ทำให้ผมดัดแลดูเป็นเงางาม
3. การนวดหนังศีรษะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการผลิตไขมัน
4. เพื่อการจัดทรงง่าย ใช้น้ำมันอัลมอนด์ใส่ขวดสเปรย์แล้วฉีดใส่แปรงก่อนหวี จะทำให้หวีผมง่ายขึ้นแลดูเป็นเงางาม
5. ก่อนนอนใช้หนังยางรวบผมไว้หลวมๆผมจะได้ไม่พันกันตอนกลางคืน
6. นำเนื้ออะโวคาโดผสมกับน้ำมันทานตะวัน 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีกเล็กน้อยชโลมบนผมเปียก
ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้หมด ช่วยบำรุงผม
7. หรือวิธีง่ายๆด้วยครีมเอนกประสงค์อย่างนีเวียนำมานวดผมและทิ้งไว้ค้างคืน จะช่วยบำรุงผมดัดได้

รู้ก่อนดัด

1. ถ้ามั่นใจว่าเส้นผมแข็งแรงพอที่จะดัดแล้วล่ะก็ก่อนการดัดประมาณ 2-3 สัปดาห์ เส้นผมควรได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยการใช้ทรีตเม้นท์เข้มข้นเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมอย่างเต็มที่ และภายหลังจากการดัดผมแล้ว เส้นผมจำเป็นจะต้องได้รับการบำรุงมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อผมใหม่งอกยาวขึ้น บริเวณรากผมที่ดัดไว้จะตกลงมา ควรพิจารณาดูว่า จะมีการดัดเพิ่มเฉพาะช่วงรากหรือค่อยๆเล็มผมแล้วดัดเพิ่มใหม่ทั้งหมด แต่อย่าดัดซ้ำสองในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมอ่อนแอและเสียไปในที่สุด
3. ควรเว้นระยะประมาณ 2 สัปดาห์ ระหว่างการทำสีผมและการดัดผม มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับปัญหาเส้นผมแห้งเสียเหมือนฟางข้าว แทนที่ลอนผมสลวยสีสันสดใสได้

วิธีดัดผมเป็นลอนสวย


1. การดัดผมที่ทำให้เกิดการโค้งที่ใหญ่และกว้าง แทนที่จะทำเป็นเส้นหยิกหยอยเล็กๆ การดัดแบบนี้สามารถเพิ่มการสปริงตัวของเส้นผมและเพิ่มน้ำหนักให้กับเส้นผมและทรงผมด้วย
2. การดัดผมที่โคนของเส้นผม จะสร้างความรู้สึกว่าเส้นผมยกตัวตั้งสูงขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่ามีเนื้อผมมาก ทรงผมที่ตัดสั้นจะได้ประโยชน์มากจากการดัดผมแบบนี้
3. การดัดผมที่ทำให้เกิดการหยิกและเป็นคลื่นมากๆจะทำให้ดูว่าเส้นผมมีชีวิตชีวานุ่มและเป็นธรรมชาติ
4. การดัดผมให้เกิดการหยิกมากจนเป็นเกลียว การทำเช่นนี้จะทำให้ผมดูหนาขึ้นมาก เหมาะสำหรับผมยาวที่มีเนื้อผมให้ทำการดัดม้วนจนเป็นเกลียว
5. การดัดผมเฉพาะที่ เช่น ดัดบริเวณหน้าผากหรือด้านข้าง เพื่อทำให้เกิดการยกตัวในบริเวณนั้นๆ
6. การดัดผมโดยใช้ขนาดของโรลต่างๆกันในเส้นผมที่ยาวเท่ากัน จะทำให้เส้นผมที่ถูกดัดมีขนาดต่างๆกันและสุมทับกันดูทันสมัยและแปลกตาดี
7. การดัดผมในบางส่วนและทิ้งไว้ตามปกติบางส่วน ทำให้เกิดการสลับสับเปลี่ยนสร้างความเท่ได้อีกรูปแบบหนึ่ง

ดัดแล้วต้องเจอ

ผมที่ดัดหากปล่อยไว้ไม่เกิน 2 เดือน เส้นผมในส่วนโคนที่งอกขึ้นมาใหม่ก็จะมีลักษณะตามธรรมชาติของเส้นผมเดิมปรากฎออกมา เช่น ในคนเอเชียอย่างพวกเราเส้นผมก็คงเหยียดยาวไม่มีอาการโค้งงอหรือหยักศกใดๆ ฉะนั้นเพื่อให้ทรงผมดูงดงามเหมือนเดิม การดัดผมเพิ่มเติมในส่วนนี้ให้เข้ากับรูปทรงเดิมก็ควรต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำครั้งใหม่นี้ต้องพยายามหาวิธีป้องกันไม่ให้น้ำยาที่ใช้ทั้งขั้นตอนแรก และขั้นตอนสุดท้ายไปออกฤทธิ์ในที่ที่ไม่ต้องการให้ทำ ช่างทำผมที่มีประสบการณ์สูงจะจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

วิธีดูแลผมดัด

1. ไม่สระผมภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังการดัดหมาดๆ
2. เมื่อเลยกำหนดเวลา ใช้แชมพูและครีมนวดสูตรเฉพาะผมดัดเท่านั้น
3. หวีผมด้วยหวีซี่ห่าง ไม่ควรใช้แปรงๆผมเด็ดขาด ทางที่ดีใช้นิ้วมือช่วยจัดแต่งทรงให้เข้าที่เข้าทางก็เพียงพอ
4. ผมเปียกควรซับให้แห้ง เพราะความเปียกสามารถทำให้เส้นผมยืดตัวได้
5. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับการดัดผม ปล่อยให้เส้นผมแห้งเอง
6. ใช้เซรั่มลดความพองฟู หรือใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งเส้นผมแบบ Super Hold ประเภทแว๊กซ์ หรือโลชั่นลูบผมช่วยให้อยู่ทรงและจัดลอนได้สวยงาม
7. ใช้ไดร์เป่าผมให้เสยไปข้างหลัง แล้วใช้นิ้วมือเสยผม จนผมหยิกเริ่มคลายลอน ใช้น้ำมันใส่ผม
หรือแฮร์โค้ทชโลมเบา ๆ จะได้ผมทรงใหม่เป็นลอนสวยไม่หยิก
8. ควรนวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและการผลิตไขมัน
9. ใช้สเปรย์เพิ่มวอลลูมเส้นผม
10. ผมลอนใหญ่จัดทรงยาก ใช้มูสชโลมผมที่เปียกหมาดๆ แสกผมแล้วแบ่งผมเป็นช่อ ม้วนโรลขนาดใหญ่ทิ้งไว้ให้แห้งใช้นิ้วจัดแต่งทรง

การดูแล...ผมแตกปลาย!?

"การดูแลผมแตกปลาย"

ผมแตกปลายเกิดขึ้นเมื่อชั้นของเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวออกจากกัน ไม่มีวิธีที่จะทำให้ชั้น ที่แตกแยกออกจากกันนี้กลับมาสมานสนิทได้ถาวร ครีมนวดผม (conditioner) จะทำให้เส้นผมที่ แตกปลายกลับมาสมานกันได้เพียงชั่วคราวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่ไม่กี่วัน โดยทั่วไปเมื่อสระผมครั้งต่อไปผมก็จะแตกปลายอีก

จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่

ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว

ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่

ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม

กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย

กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ

สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์

ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท

สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ

1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ

2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู

3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ

4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ

5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี

สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง

2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ

3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที

4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก

สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ

1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ

2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม

3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป

4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ

5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน

6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด

7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย

เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้

ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้

1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ

2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)

3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น

4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป

5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง

นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง

มันมากับฝน...ภัยมืดที่สาวๆ ต้องระวัง

จาก Forward Mail ครับ
------------------------------------




มันมากับฝน...ภัยมืดที่สาวๆ ต้องระวัง

เคยรู้สึกกลัวเวลาที่ต้องกลับบ้านคนเดียวมืดๆ ระแวงเวลาที่ต้องเดินออกจากออฟฟิศคนเดียว หรือผวาเวลาที่ต้องนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านดึกๆบ้างหรือเปล่า
ไม่ผิดหรอกที่จะรู้สึกแบบนั้น และไม่ต้องกังวลด้วยว่าคุณจะกลายเป็นสาวพารานอยด์จนเกินเหตุ หากว่ายังติดตามข่าวหน้าหนึ่งที่มีคดี ปล้น จี้ หรือทำร้ายร่างกายจากหนังสือพิมพ์หัวสีแทบทุกวัน

ต่อไปนี้คือบางส่วนจากนิตยสารที่เราหยิบยกขึ้นมา
เพื่อเตือนสาวๆ ให้ระวังภัยมืดใกล้ตัวคุณ!!!
ไม่อยากเสี่ยงควรเลี่ยง 10 ซอยอันตราย
ซอยลาดพร้าว 21 เขตจตุจักร
ซอยวิภาวดี 64 เขตหลักสี่
ซอยจรัลสนิทวงศ์ 37
ซอยจรัลสนิทวงศ์ 89
ซอยสวนผัก 11 เขตตลิ่งชัน
ซอยภิรมย์ เขตสัมพันธวงศ์
ซอยเจริญนคร 23 หรือ ซอยอู่ใหม่ เขตคลองสาน
ซอยวิมุตยาราม เขตบาง
ซอยร่วมรักษา เขตห้วยขวาง
ซอยวัดมะกอก ถนนราชวิถี ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ



วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องนั่งแท็กซี่คนเดียว
สาวๆ จ๋า เมื่อหน้าฝนมาเยือนการเดินทางย่อมไม่สะดวกสบายเหมือนฤดูอื่นๆ แต่เรียกแท็กซี่ได้แล้วก็อย่างเพิ่งดีใจ อย่าเผอเรอนั่งสบายๆ ในแอร์ชุ่มช่ำจนลืมนึกถึงความปลอดภัยละ
1. เริ่มตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ เวลาเปิดประตูบอกที่หมายให้สังเกตว่าในรถมีทะเบียนรถที่เป็นแผ่นเหล็กติดอยู่ที่บริเวณประตูหรือไม่ และสังเกตว่าคนขับหน้าตา ท่าทาง ดูน่าไว้วางใจหรือไม่ มีอาการมึนเมารึเปล่า
2. เมื่อขึ้นไปนั่ง ควรจำทะเบียนรถทันที หรือจดใส่กระดาษไว้ ดูชื่อคนขับ และดูรูปบัตรที่ติดในรถกับคนที่ขับว่าตรงกันหรือไม่ แต่จะให้ดีที่สุดควรโทรศัพท์หาคนที่กำลังจะไปหา แล้วบอกไปเลยดังๆ ให้คนขับได้ยินว่า ' ฉันขึ้นรถ TAXI เขียว-เหลือง ป้ายทะเบียน กทม. มจ.xxxx กำลังจะไปแล้วนะ เดี๋ยวเจอกัน" ไม่ต้องอายเพราะความปลอดภัยของเราใครจะรับผิดชอบ จริงไหม
3. ถ้าโดยสารคนเดียวควรเลือกนั่งเบาะหลังที่นั่งคนขับ โดยนั่งให้ชิดประตูเพราะจะทำให้การพยายามทำอันตราย ต่อผู้โดยสารโดยตรงเป็นไปได้ยากขึ้น แต่เวลาจะลงรถควรลงทางประตูด้านซ้ายเพราะจะได้เป็นการกันไม่ให้คนขับลงจากรถแล้วมาทำอันตรายในระยะประชิดได้
4. พยายามอย่าบอกว่าไม่รู้หรือไม่ชินกับเส้นทาง ถึงแม้จะมาจากต่างจังหวัด ถ้าคนขับถามว่าไปทางไหนดี ควรบอกไปว่า "ไปทางไหนก็ได้......แต่ให้ดีเลือกทางที่รถไม่ค่อยติด และไม่เข้าซอยเปลี่ยว " ถ้าไม่รู้ทางทั้งคนนั่งและคนขับ อาจเปลี่ยนรถคันใหม่ หรือถามทางกับคนแถวนั้น แต่ที่ที่จอดถามต้องปลอดภัย คนพลุกพล่าน
5. หากคนขับแท็กซี่ชวนคุย ควรคุยเฉพาะเรื่องเส้นทางเท่านั้น ไม่ควรคุยเรื่องส่วนตัว เพราะจะเป็นการนำไปสู่การคุยเรืองทะลึ่งลามกได้
6. ขณะนั่งบนรถควรสังเกตอะไรบ้าง
* เส้นทางตลอดเวลาที่ผ่าน อาทิ เช่น ป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย ถ้ารู้สึกผิดปกติให้โทรหาญาติหรือเพื่อนโดยบอกเส้นทางที่ผ่านมาทุกระยะ
* หากคนขับ ปรับกระจกมองข้างหลัง มาดูระดับขา หรือ ระดับหน้าอกของเรา ควรลงจากรถเพราะอาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนขับไม่ให้เกียรติต่อผู้โดยสารผู้หญิง และบ่งบอกว่าเขาอาจกำลังคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่ แต่หากจำเป็นต้องนั่งต่อควรเอากระเป๋ามาปิดขาหรือเอามากอดอกไว้ ทำท่าทางให้ดูน่าเกรงใจ ที่สำคัญก่อนออกจากบ้านก็ควรจะดูแลตัวเองเบื้องต้นไว้บ้าง เช่น ไม่แต่งตัวโป๊เกินไป หรือมีเสื้อคลุมที่มิดชิดติดตัว
* ควรสังเกตว่าคนขับขยับมือมาที่ช่องแอร์หรือฉีดสเปรย์ที่ช่องแอร์หรือไม่ ถ้าผิดสังเกต เริ่มรู้สึกมีอาการแปลกๆ เช่น รู้สึกปวดหัว คลื่นไส้จะอาเจียน รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ไม่มีเรี่ยวแรง แสดงว่าคุณอาจโดนมอมยา ควรหาที่ปลอดภัยคนเยอะๆ สว่างๆ แล้วลงจากรถ รีบโทรหาญาติหรือเพื่อนทันที หากโชคดีควรหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เยอะๆ หาที่พิงแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น
* ควรระวังคนขับบางรายที่ใช้วิธีช่วยขนสัมภาระ แล้วพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่ตั้งใจ บางคนฉวยโอกาสนี้ป้ายยาสลบใส่โดยที่ผู้โดยสารไม่รู้ตัว
7. สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานั่งแท็กซี่ คือ
* อย่าคิดว่า " คงไม่มีอะไร นั่งหลายครั้งแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย" เพราะจะทำให้คุณปิดโอกาสในการระมัดระวังภัยของตัวเอง
* อย่าเผลอหลับบนรถแท็กซี่เด็ดขาด ไม่ว่าจะเหนื่อย ไม่สบาย หรือเมาแค่ไหนก็ตาม
8. ถ้าถูกพาไปที่เปลี่ยว อย่าเปิดโอกาสให้คนขับประชิดตัว ควรพยายามชิงหนีออกมาก่อน ถ้าไม่มีอาวุธป้องกันตัวให้เอารถเป็นที่กำบัง หรือ วิ่งรอบรถพร้อมกับ ร้องตะโกนให้คนช่วยเพื่อถ่วงเวลา ถ้านานแล้วยังไม่มีใครมาช่วย ให้ตะโกนดังๆ ว่า ' ตำรวจมาแล้ว ตำรวจช่วยด้วย ' ให้คนร้ายหันไปมอง แล้ววิ่งสุดชีวิต ถ้าฉวยจังหวะนั้นได้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะวิ่งห่างจากคนร้ายได้ประมาณ 100 เมตร
9. ถ้าบอกให้จอดแล้วไม่ยอมจอดแต่ยิ่งขับเร็วขึ้น ก่อนอื่นต้องตั้งสติดีๆแล้วเปิดประตูด้านหนึ่ง (ควรเป็นประตูด้านซ้ายของเบาะผู้โดยสาร จำไว้ว่าเราต้องนั่งเบาะข้างหลังคนขับ) ให้สะบัดค้างไว้นอกรถเพื่อสร้างจุดสังเกต มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะมีคนสังเกตเห็นและช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ให้สกัด 7 จุดสำคัญ
1. บริเวณศีรษะ
จุดอ่อนสำคัญที่จะหยุดคนร้าย ได้แก่ ดวงตา หู จมูก ขมับ ท้ายทอย ปลายคาง โดยเลือกใช้สิ่งของที่มีลักษณะแหลมๆ แทงไปตรงจุดดังกล่าว หรือฉีดน้ำหอม/น้ำยาดับกลิ่นปากไปที่ตา รับรองคนร้ายไม่รอดแน่
2. ลูกกระเดือก
ควานหาของแหลมๆ เช่น กุญแจ แปรงสีฟัน หรือ มาสคาราก็ได้ แทงเข้าไปบริเวณนี้จะมีผลทำให้กระดูกอ่อนของกล่องเสียงโจรแตกจนถึงขั้นพูดไม่ได้ก็มี
3. ลิ้นปี่
ตรงกลางบริเวณท้องส่วนบน อาจจะใช้สมุดเล่มหนา แปรงสีฟัน หรือโทรศัพท์มือถือ กระทุ้งไปตรงจุดนี้ให้เต็มแรง คนร้ายจะเกิดอาการจุก ตัวงอและล้มลงได้
4. เป้ากางเกง
ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการจู่โจม หากผู้ชายถูกกระแทกบริเวณนี้จะอ่อนแรงลง ยิ่งถ้าแรงมากจะส่งผลให้ลูกอัณฑะแตกถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
5. หน้าแข้ง
วินาทีนี้แล้วคงไม่ต้องนึกเสียดายของกันแล้วละ หยิบของที่แข็งแรงพอจะเหวี่ยงได้เช่น กล้องดิจิตอล ฟาดสุดแรงเข้าที่หน้าแข้งไปเลยเพื่อสร้างความเจ็บปวดและทำให้เสียการทรงตัว เป็นโอกาสให้รีบวิ่งเอาตัวรอด
6. หลังเท้า
ถึงตอนนี้รองเท้าส้นสูงที่สาวๆ มักบ่นว่าปวดเมื่อยยามสวมใส่จะกลายเป็นประโยชน์ยามคับขัน เหยียบไปอย่างแรง ย้ำๆๆๆ จะยิ่งดีและถ้ายังมีโอกาสให้ตามด้วยยุทธศาสตร์ข้ออื่นอีกก่อนผละหนี
7. นิ้วมือ
อาจจะใช้ที่ดัดขนตาหนีบไปที่นิ้วมืออย่างแรงหรือหักนิ้วไหนก็ได้กลับอีกด้าน วิธีนี้ต่อให้คนร้ายตัวใหญ่แค่ไหน ก็ต้องสยบ

คิดถึงแฟนเก่า...แล้วมันเสียหายตรงไหน..

คนเราเคยมีความหลังต่อกันแล้วจะไม่ให้ระลึกถึงซะบ้างเลย ก็เกินไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไหนๆเขาหรือเธอก็กลายเป็นอดีตของคุณไปแล้ว ไม่ว่าจะแตกหักกันอย่างไร ขอเล่าเรื่องการเยียวยารักษาแผลใจให้ฟังแล้วกัน แม้บางคู่ที่เลิกรากันไปเพราะดิ้นรนอยากเลิกเอง
ไม่ได้ถูกเขาทิ้งหรืออกหักก็ตาม แต่คงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งช้ำในกับอดีตบ้างล่ะ

ว่ากันว่า ยามได้เวลาต้องฟื้นไข้จากพิษเลิกรากับคนรักเก่า (Recovering From A Breakup) คุณก็ไม่ควรเศร้าสร้อย เหงาหงอยจนออกนอกหน้าแบบเว่อร์ๆ เพราะเมื่อถึงคราว ที่ต้องสิ้นสุดกันเสียที ก็ควรยอมรับว่า อดีตก็คืออดีต

ความรักผ่านมา แล้วก็ผ่านไป จะไปฉุด ไปรั้งเขาไว้ ได้ อย่างไร ในเมื่อใจของเขาไม่ อยากหวนคืนมาหาเราซะแล้วนี่ เป็นซะอย่างนี้ควรปล่อยให้แล้วก็แล้วกันไปเถอะ

ว่าแต่คนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะบั้นรักกับแฟนมาหมาดๆ มักมีความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้าหา ไหนจะเจ็บช้ำระกำใจ, ท้อแท้ สิ้นหวัง หนำซ้ำบางครั้งเหมือน กับว่า โลกนี้กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในไม่ช้านี่แหละ

ให้พิการทางกาย ยังดีกว่าพิการทางใจหลายร้อยเท่า

แต่...แต่อย่าเพิ่งเข้าขั้นโคม่าขนาดนั้นเลยท่าน โอ้ย... อกหักครั้งสองครั้งน่ะจิ๊บจ๊อย เพราะในอนาคตคุณยังต้องเผชิญกับรักร้าวและรักลวงอีกเยอะ แค่นี้ปวดแสบปวดร้อน ยังน้อยไป ทว่าหัวใจยังทำด้วยเนื้อ ต่อให้เอาเหล็กมาหุ้มไว้ ถ้าเพิ่งแยกทางกับคนที่เคยรัก จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลย คงตลกสิ้นดี

งั้นถ้าหากอยากฟื้นจากพิษรัก ก็มีบันไดให้เดินตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. จำไว้ว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
เป็นไปได้ว่า ตอนที่คุณถูกคนรักทิ้งขว้าง แน่ล่ะมันย่อมเป็นช่วงที่คุณรู้สึกเสียศูนย์มากที่สุดในชีวิต เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจและคิดเตลิดเปิดเปิงว่า อุตส่าห์รักขนาดนี้ยังทิ้งเราได้ลงคอ แต่ขอให้คิดไกลไปอีกนิดด้วยว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังเป็นคนเดิม คนที่ครั้งหนึ่งเป็นที่รักของใครบางคน ไม่ได้เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายแต่อย่างใดหรอก
2. ตอนที่คุณตกอยู่ในห้วงแห่งรักไม่ สมหวังอย่างนี้ รู้ไหมว่า คุณกำลังอ่อนแอทั้งร่างกาย และจิตใจ สภาพโทรมจัดแบบนี้ มีสิทธิ์ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง ได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าช้ำในนานนัก หมั่นดื่มน้ำใบบัวบกหรือน้ำเก๊กฮวยให้มันหายเก๊กซิมซะเร็วๆ
3. หากฟังคำพูดตัดสวาทของอีกฝ่ายแล้วยังไม่แน่ใจว่า เขาหรือเธอพูดจริงหรือพูดเล่น สอบถามอีกทีก็ได้นี่ว่า เราหมดเยื่อไม่เหลือใยกันจริงหรือ?
ถ้ายังได้รับการยืนยันว่า ใช่ เค้าเรียกว่า ยังสะเออะไปถามให้ตัวเองหน้าแหกอีกทำไมก็ไม่รู้ สู้เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาจีบคนใหม่ดีกว่า
การผิดหวัง อาจชักพาให้คุณสมหวังกับคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าคนเก่าก็ได้ สักวันอาจเจอ "รักแท้" ที่จริงใจกว่าเดิม มีรักเหนียวแน่นกว่าครั้งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
4. ช้ำรักมักทำให้คุณขมขื่นก็จริง แต่ อย่าไปแสดงออกให้คนในอดีตของคุณรู้เข้าล่ะ
เพราะไม่งั้น เขาจะหาว่า คุณขาดวุฒิภาวะ ยังไม่ เป็นผู้ใหญ่พอ ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หากยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปควบคุมอะไรไหวล่ะเนี่ย
5. ขอเวลานอก หลบไปพักผ่อน หรือยุติเรื่องหนักๆ ไว้ชั่วคราว
สิ่งที่คุณเพิ่งเจอมานั้น สร้างความบอบช้ำมากพออยู่แล้ว ถ้าจิตใจยังไม่ปกติ ก็อย่าแสร้งทำเป็นว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร การถูกคนรักตัดพ้อต่อว่า, ถูกสลัดรัก หรือถูกทิ้งทุกคน (ที่มีแฟน) ล้วนมีประสบการณ์ทำนองนี้ มาแล้วทั้งนั้น และอาจเผลอไปทำกับคนอื่นเอาไว้ แบบนี้เหมือนกัน ใช่ว่าจะถูกเขาทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะ
แต่หากหนีไปจากเรื่องวุ่นๆ ซ้ำซากจำเจได้ชั่วคราว ขอให้รีบทำ ขืนอยู่ที่เดิมๆ คงไม่แคล้วเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
6. ถ้าไม่กลายเป็นคนซึมกะทือ หรือมัมมี่เดินได้แล้วไซร้ การไปสังสรรค์ออกสังคม พบปะผู้คนบ้าง
อาจช่วยให้ลืมเรื่องเก่าๆได้ แม้จะลืมได้ไม่ถาวร แต่ลืมได้ชั่วคราวก็ยังดี เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะลืมตลอดกาลไปเองนั่นแหละ
ทีเรื่องอื่น ทำไมถึงขี้ลืมกันเหลือเกิน ตรงข้ามกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไยลืมไม่ลง ก็บ่ฮู้
สุดท้าย แทนที่คุณจะเกลียดอดีตหวานใจ เปลี่ยนเป็นจากกันด้วยดีและยังมี ความปรารถนาดีต่อกันซะเถิด อย่างน้อย เราคงเหลือความทรงจำดีๆต่อกันอยู่บ้าง หากหนูทบทวนดีๆอาจเสียดายพี่ก็ได้นะ.

เวลาต้องการลืมใคร.......

เวลาต้องการลืมใคร...

วันนี้...เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้ "
.....แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ..... สักวันเราจะรู้ว่า...
สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้. ....เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา
ไม่ใช่...ทั้งหมดของชีวิตเรา

วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่
ที่เราคิดว่าเราพึงใจ...ปรารถนา...ต้องการ...ขาดไม่ได้
เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก..

เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป จะสอนเราได้เองว่า
.....ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ
อย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง...
คิดเสียว่า...เราโชคดี...ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก

ความผูกพัน...ก็เหมือนกับความรัก... หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก
แต่ความผูกพันที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง ไว้กับสิ่งนั้นๆ

.....เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง เปรียบเสมือน
เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบ ในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม
พออากาศร้อนหน่อย...เราอาจต้องการน้ำเย็น ๆ
บางครั้งที่เราไม่สบาย...เราอาจต้องการน้ำอุ่น

ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ... ต้องเติมสิ่งต่าง ๆ
ในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม

หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที
ในแก้วใบเดียวกัน เราก็จะพบว่า...แก้วใบนั้น...ก็จะร้าว...แล้วเริ่มแตก
ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา...

ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง...ไม่ผิด
ถ้าเราค่อยๆปรับใจ...ปรับตัวของเราเอง...ให้กลับคืนในเวลาที่ควร
เพราะอย่างน้อยที่สุด...เราก็มีโอกาส...ได้ผูกพัน...
ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาส...ได้รัก นั่นเอง

ถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น ...คือ...ความรัก
ถ้าคุณเศร้า...เหงา...คิดถึงเค้า...อยากเจอ...อยากพูดคุย ...คือ...ความรัก

ถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ ...คือ...ความใคร่
อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียว

ถ้าคุณเมามาย...เค้าลูบหลังไหล่...ดูแล ...คือ...ความรักที่บริสุทธิ์ใจ
ถ้าคุณเมามาย...เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย ...คือ...ความใคร่จากเค้าของคุณ

ถ้าคุณเข้าหา...แต่เค้าหนี... ...คือ...ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้ว
ถ้าคุณหนี...แต่เขาวิ่งตามมา... ...คือ...ความรักที่ยังไม่มีจุดจบ

ถ้าคุณร้องไห้...ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ
.....คุณคือ...คนโง่...และบ้า อย่างน่าอาย
แต่ถ้าคุณพอใจ...จงรัก...และมอบความรักให้กับเค้า
แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตาม
จงดีใจที่ได้รักซะวันนี้...ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้า
จงภูมิใจที่มีความใคร่...เสน่หา เพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป

เหตุผลที่ผู้ชายไม่ยอมเอ่ยคำว่ารัก

เหตุผลที่ผู้ชายไม่ยอมเอ่ยคำว่ารัก

ความเป็นไปได้ที่เขาไม่กล้าเอ่ยคำว่ารักนั้น
อาจเพราะความกลัวต่อสิ่งที่คุณจะแสดงออก
หลังจากเขาพูดมันออกไป
แหมก็ผู้ชายเขาออกจะกลัวเสียฟอร์มซะขนาดนี้
ถ้าเกิดเขาพูดออกไป
แล้วคุณหัวเราะเยาะเขา
หรือทำหน้าเหยเกเข้าใส่ เขาก็ยิ่งขาดความมั่นใจ
และไม่สามารถพูดคำคำนั้นได้อีกเลย
ซึ่งเป็นที่มาของสาเหตุที่สองคือ
จากประสบการณ์รักเก่าที่เขาเคยเจอ
ทำให้เขาเรียนรู้ ที่จะไม่สะกดคำว่ารักออกมา
ให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ได้ฟังอีกต่อไป
ซึ่งอาจถือเป็นโชคร้าย
ถ้าคุณเกิดเป็นสาวคนนั้น
แต่ในท้องฟ้าที่มืดมน ก็ย่อมมีแสงสว่างอยู่บ้าง
คำว่ารักนั้น ไม่ได้แสดงออกด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว
การกระทำอย่างอื่นของเขา
อาจจะเป็นสิ่งที่ยืนยัน ได้ดีกว่าคำพูดซะด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเขาคนนั้น เป็นหนุ่มเพลบอย
ที่บอกรักหญิงสาวไปทั่ว
แต่พอมาพบคุณ
เขาก็ไม่ยอมเอ่ยปาก มาให้คุณฟังบ้างซะที
นั่นแสดงว่าเขาเริ่มจริงจังกับคุณมากกว่าใครๆแล้วค่ะ
ผู้ชายประเภทนี้ จะไม่ยอมปริปากบอกรัก
กับหญิงที่เขาจริงจังด้วยเป็นอันขาด
เพราะว่าเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดกับใครในตอนนี้
ให้เวลาเขาหน่อยนะคะ
ไม่นานคุณจะได้ยินคำรัก จากปากของเขาเอง

มีผู้ชายอีกประเภทหนึ่งที่
แยกไม่ออกระหว่างความรักกับความสงสาร
ทำให้เขาไม่สามารถพูดว่ารักคุณได้เต็มปาก
ประเด็นนี้คุณคงต้องพิจารณาดีๆแล้วว่า
คุณกับเขาเริ่มคบกันเพราะอะไร
ถ้าเพราะความสงสารล่ะก็
ค่อยๆให้มันแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพ
ของเพื่อนหรือเป็นความรัก
ระหว่างหนุ่มสาวก็ย่อมทำได้
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ของคุณทั้งสองมากกว่า
(เราบอกก่อนว่าผู้ชายประเภทนี้ข้านค่องจะกวนทีนนิดหน่อย)

สุดท้ายเราอยากจะบอกว่าคำว่ารัก
ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน
ถึงความรักที่เขามีให้คุณ
มันเริ่มออกมาจากลมปาก และลอยปลิวไปเป็นอากาศ
ถ้าเขายังไม่พร้อมที่จะพูด
ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม คุณก็น่าที่จะให้โอกาสเขา
ค่อยๆ สั่งสมความรักนั้น
นานวันเข้า มันเริ่มล้นออกมาเมื่อไหร่
เขาจะเริ่มพูดให้คุณได้ฟังเองนั่นแหละ